ดวลเดือดสามซามูไร Yamaha Vs Kawasaki Vs Honda

Yamaha ส่ง Tracer 700 ลงมาสู้ในคลาสมิดเดิ้ลเวท ขณะที่ ER-6f ของ Kawasaki เป็นเหมือนนักสู้พเนจรที่ต้องดิ้นอีกมาก ส่วนเจ้า CBR รถยอดนิยมของ Honda ดูน่าจะสู้กับศึกครั้งนี้ได้สูสีเลยทีเดียว

เรื่อง: Rupert Paul                 แปลและเรียบเรียง: Benz                      ภาพ: Jason Critchell

 

Yamaha Tracer 700

สองสูบเรียง 689 ซีซี  >> 200 กม./ชม. >> 74 แรงม้า >> 23.8 กม./ลิตร >> “เรียกได้ว่าเป็นรถที่มีสมรรถนะรอบด้านที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่แค่ในระดับกลาง แต่ในทุกๆ คลาส คุณขี่เจ้า Tracer แล้วคุณจะสงสัยตัวเองว่าทำไมจะต้องการอะไรที่มากไปกว่านี” Mike Armitage บก. Bike กล่าว

มันสนุกสุดมัน ใช้งานได้จริงและราคาสมเหตุสมผล เรียกได้ว่าทำคะแนนแฮตทริคเลยล่ะครับ

John Robinson นักข่าวรุ่นเก๋าที่เคยขี่รถมาแล้วแทบทุกคันที่ออกมาในช่วงปี 1967 – 2000 เคยพูดว่าเขาใช้เวลาส่วนใหญ่เฝ้ารอให้รถญี่ปุ่นนั้นพัฒนามากๆ “แน่นอนแล้วว่าพวกจะต้องไปถึงจุดที่ผมต้องการแน่” เขาบอก “เพียงแต่ว่าเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น”

Robbo เปรียบ GSX1100 และ XS1100 สปอร์ตไบค์ตัวจี๊ดของช่วงปลายทศวรรษ 1990 เหมือนไดโนเสาร์ วันนี้ผมคิดว่ามันโอเคแล้วที่จะบอกว่ารถญี่ปุ่น หรืออย่างน้อยๆ ก็ Yamaha ได้ก้าวไปข้างหน้าก้าวใหญ่ยักษ์อีกก้าวนึง แต่ไม่ใช่ในเรื่องของความเร็วหรือเรื่องแรงม้าอีกต่อไป มันเป็นเรื่องของการสร้างรถที่สมเหตุสมผลกับถนนในทุกวันนี้

ผมควรจะบอกตรงๆ เลยว่าผมลำเอียง 2 ปีก่อนผมซื้อ MT-07 มา มันคือพื้นฐานของ Tracer 700 ผมทำมันเจ้า MT นั้นดูลงตัวมากกว่ารถที่ผมเคยขี่มา รถทั้งหมดนั้นทำจากโลหะ แต่เจ้า MT นั้นมันโฟกัสได้ถูกที่ที่สุด คุณรู้สึกได้ถึงข้อดีของมันทันทีที่คุณปล่อยคลัทช์ มันควบคุมได้ง่ายและสนุก และผมอีกว่ามันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ

เจ้า Tracer 700 เองก็เป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ท่านั่งหลังตรงมากกว่า และมาพร้อมชิลด์บังลมที่ดีกว่า ระบบกันสะเทือนที่เฟิร์มกว่า เหมาะกับการติดกระเป๋ามากกว่าทั้งยังจุน้ำมันได้มากกว่า แล้วทำไมจะไม่ชอบล่ะครับ?

จากระดับสายตา Tracer ดูดีมีเหลี่ยมมีมุม แต่จากด้านบน 3 เมตรขึ้นไป มันคล้ายกับลูกอ๊อดตัวอ้วน ส่วนที่อ้วนคือส่วนที่บังลมที่ไว้เพื่อให้นั่งหลังตรงได้มากขึ้น และถังน้ำมันที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เดินทางได้ไกลมากขึ้น ผมทำได้ 268.8 กม./ชม.จากน้ำมัน 1 ถังก่อนที่ไฟจะกระพริบ แต่ก็พบว่าผมใช้มันไปแค่เกือบ 12 ลิตร แต่จริงๆ แล้ว Yamaha บอกว่ามันจุได้ 17 ลิตรซึ่งจะทำให้คุณวิ่งได้มากถึง 320 กม.ก่อนที่จะแวะเติมน้ำมัน

ท่านั่งใหม่นี้มาจากตุ๊กตาแฮนด์ที่ยกให้บาร์สูงขึ้นและเบาะนั่งที่กว้างขึ้นเล็กน้อย สำหรับส่วนสูง 177.8 ของผมแล้วชิลด์หน้านั้นทำหน้าที่ได้ดีมากๆ เมื่อปรับที่ระยะต่ำสุด เหนือกว่านั้นกระแสลมจะตีออกหมด 136 กม./ชม.คือความเร็วที่สบายๆ เวลาขี่นานๆ ไกลๆ บวกหรือลบ นิดหน่อยขึ้นอยู่กับกระแสลม ข้อบ่นนิดนึงก็คือเวลาขี่เร็วๆ เนี่ยลมจะเข้ามาทางเขาของคุณและทำให้ขาของคุณแบะออก

สิ่งที่ผลักดันให้คุณแหวกผ่านลมก็คือเครื่องยนต์เดียวกันกับเจ้า MT-07 จากด้านนอกมันดูเหมือนกับ 2 สูบเรียงของ Kawasaki ER-6f แต่มีจุดที่แตกต่างกันอย่างมาก ของ Kawa นั้นมีเพลาข้อเหวี่ยง 180 องศา ซึ่งจะให้ระยะการจุดระเบิดที่ห่างเท่าๆ กัน แต่เจ้า MT จะทำองศา 270 องศาการจุดระเบิดเลยเป็นไปในแบบที่ไม่สมดุล Yamaha ได้ทำเครื่องสองสูบแบบนี้มานานหลายปีแล้ว แต่ด้วยเหตุผลในยุคสมัยใหม่ทำให้รถนั้นต้องสมู้ท นับตั้งแต่ R1 โมเดล 2009 เป็นต้นมาซึ่งใช้เครื่องยนต์แบบครอสเพลนฯที่ Rossi และ Lorenzo ใช้แข่งใน MotoGP ตั้งแต่ปี 2004 มาเป็นต้นแบบ แต่จะยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะช่วงรอบๆ ไหนๆ ตั้งแต่ออกตัวจากไฟแดง หรือจะเข้าโค้งที่ 184 กม.ด้วยองศาการแบนที่ 30 องศา เจ้า Tracer ก็ยังให้ความรู้สึกที่ดีกว่า ER-6f ถามว่าทำไม? ผมบอกได้อย่างเดียวว่ามันเชื่อมต่อข้อมือคุณเข้ากับล้อหลังได้ชัดเจนกว่า การเชื่อมต่อที่สำคัญมากที่สุดคือสมองกับข้อมือ แต่หลังจากนั้นการจังหวะการจุดระเบิดก็เป็นส่วนนึงที่ช่วยเรา

รูปแบบที่เครื่องยนต์ส่งกำลังคือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความลงตัวที่ยอดเยี่ยมของเสียงคำรามและความเร็วรอบ Freddie เทสต์ไรเดอร์รับเชิญวัย 24 ที่ขี่ XT660 ของตัวเขาเองมาจนทะลุปรุโปร่ง ก็หลงรักใน Tracer ‘มันนุ่มนวลกว่าและมีกระทุ้งหนักหน่วงกว่า Kawasaki ราวกับว่ามันเร่งความเร็วได้ดีในทุกช่วงรอบ’ ถ้าเร่งเร้ารถจะไปที่ 192 ได้สบายๆ แชสซียังช่วยให้รถนิ่งแม้ในโค้งยาวๆ แต่มันทำความเร็ว 0 – 144 กม./ชม.ได้สบายๆ และยังมีแรงเหลือที่จะเร่งต่อจาก 128 กม./ชม.บนมอเตอร์เวย์ได้สบายๆ

แชสซีนั้นดีมากๆ โช้คหน้าและหลังเองก็เฟิร์มกว่า MT-07 ที่ย้วยกว่า อย่างที่คุณคาดหวังครับ รถนั้นออกแบบมาเพื่อคนซ้อนและปี๊บ ขี่คนเดียวบนถนนสาย M6 รอบ Birmingham ที่ขรุขระได้สบาย แต่บนถนนที่คดเคี้ยวเองให้ความรู้สึกมั่นใจด้วยสาย Michelin PR4 การเข้าโค้งลึกๆ จะทำให้พักเท้ารถขูดเข้ากับพื้น แต่ส่วนอื่นๆ นั้นไม่มีปัญหา เบรคและหักเลี้ยวก็ไม่ทำให้รถเสียอาการเท่าไหร่

มีอะไรที่ไม่ถูกต้องกับเจ้า Tracer บ้าง? มันต้องมีจุดสำหรับไว้เกี่ยวสายรัด ผมอยากให้มันเป็นแผงยึดบริเวณพักเท้าของซ้อน และเมื่อคลัทช์เริ่มร้อน มันก็มีบ้างที่คลัทช์ไม่จับ ถ้าคุณไม่มีปัญหากับมันล่ะก็มันคือรถที่สมรรถนะรอบด้านเลยจริงๆ

‘This is a do-anything bike you can ride and ride’ – “มันคือรถที่ทำอะไรก็ได้ที่คุณจะต้องขี่มันซ้ำแล้วซ้ำอีก”

Just like the MT-07 but with better wind protection and fuel range – มันเหมือนกับเจ้า MT-07 แต่มีชิลด์บังลมและถังน้ำมันที่ใหญ่กว่า

Above: Tracer 700 is a thoroughly modern machine right up to its instrument pod Below: and here’s where you put your sat nav – ด้านบน: Tracer 700 เป็นรถสมัยใหม่ทั้งคันสังเกตได้จากเรือนไมล ด้านล่าง: และนี่คือที่สำหรับติดนาวิเกเตอร์ครับ

‘Yamaha นั้นอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่ความคุ้มค่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ได้ฟุ่มเฟือยในเรื่องของสเป็กหรือว่าความตื่นเต้น มันเป็นอัญมณีชั้นยอดสำหรับการขี่เดินทางไกลๆ’ Gerald Davison อดีตบอสของ Honda UK และ HRC

Great braking: tick. Excellent cornering stability: tick. Grins: tick – เบรคยอดเยี่ยม เข้าโค้งได้นิ่ง ชวนให้ยิ่มร่า

 

Metalflake red frame not a winner. Also available in plain black or white –  เฟรมสีแดงเมทัลเฟล็คไม่โดนเท่าไหร่ แต่มันก็มีสีดำหรือสีขาวล้วนให้เลือกด้วยนะ

 

Above and below: built using cheaper and simpler components, but Honda’s trademark gorgeousness and quality is all over the CBR – ด้านบนและด้านล่าง: ใช้ชิ้นส่วนที่ราคาไม่แพงและเรียบง่าย แต่ความหรูหราและคุณภาพในแบบของ Honda นั้นก็มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

Rupert Paul, August 2016: ‘today most of us are old and grey, and wringing every last gasp from a screaming four is considered terribly 20th century. I loved it’ – Rupert Paul บอกว่า ‘วันนี้พวกเราส่วนใหญ่ก็แก่หัวหงอกกันแล้ว และการได้เค้นเสียงคำรามจากเครื่อง 4 สูบนั้นก็เป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ ผมชอบมันนะ‘

Honda CBR650F

ผลิตในไทยโดยใช้ชิ้นส่วนราคาไม่แพง มันคงห่วยใช่มั้ยล่ะ? คิดผิดแล้ว เพราะนี่คือ Honda

“ผมจะบอกว่าทุกวันนี้จีนนั้นผลิตรถออกมาได้ดีเลยทีเดียว” บางที Martin Fitz-Gibbons อาจจะปากจัดเรื่องชุดสีของ CBR650F มากไปหน่อย แต่บางทีก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ทุกคนที่ได้เห็นจะต้องหลอนไปกับเฟรมสีแดงของมัน แถมลายของมันก็เหมือนกับงานเปเปอร์มาเช่ของเด็ก 4 ขวบ

ถ้าคุณเป็นเหมือนผม คุณคือตาลุงที่รู้จักรถในตระกูล CBR มาตั้งแต่ต้น รูปโฉมใหม่นี้ทำลายความเป็นมาของมันหมดเลย แต่บางทีแพ็กเกจที่เราดูไม่เข้าตาอาจจะไปเข้าตาวัยรุ่นยุคใหม่ก็ได้ละมั้ง แต่ผมว่าพวกเขาพลาดที่จะทำให้ Lydia สาววัย 18 หรือว่า Freddie วัย 24 ของเราประทับใจซะแล้ว

แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเสียรูปทรงของมันก็ยังคงดูดีและมันยังมีสีดำหรือสีขาวล้วนให้เลือกอีก

ขอให้คุณมองลงไปให้ลึกกว่าหน้าตา เจ้า 650 นั้นยังคงคล้ายกับเจ้า CBR600F รุ่นดั้งเดิมอยู่มาก ยังคงใช้เฟรมแบบเดียวกัน เครื่องยนต์ที่เคลมมาว่ามี 85 ม้าที่ 11,000 รอบ โช้คหน้าที่ปรับอะไรไม่ได้ มีแต่โช้คหลังที่ปรับพรีโหลดได้ เมื่อคุณคิดว่าเจ้า CBR-F นั้นเคยเป็นรถที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังมาก คุณจะสงสัยว่าทำไมจอมพลังคันนี้ถึงได้ตกต่ำลง

ดังนั้นผมก็เลยไม่อยากคาดหวังอะไรมากนักตอนที่ผมเอามันออกหไปขี่ในตอนแรก ทำไมผมถึงได้คิดผิดเช่นนี้นะ

มันเป็นวันที่อากาศแห้งและสดใสวันนึงและสิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้คือการขับขี่ที่ดี ถ้าคุณเคยลองขี่ CBR600F มาก่อน ซึ่งใช้เฟรมของ Hornet 600 และโช้คหน้าแบบหัวกลับแล้ว คุณจะรู้ว่ามันกระด้างขนาดไหนเวลาเจอกับถนนที่ขรุขระ แต่เจ้า 650 ไม่เป็นแบบนั้น มันกลับทำได้ดีกว่ามาก มันไม่เสียอาการกับการหลุมบ่อเลย ABS เองก็ทำงานได้ดี แถมยังเป็นเหมือนการบอกด้วยว่ายาง Dunlop Sportmax Roadsmart นั้นทำได้ดีแค่ไหน ด้านหน้าของรถนั้นทำให้คุณมั่นใจได้ในไม่กี่ที การถ่ายน้ำหนักไปในทิศทางต่างๆ ทำได้ดั่งใจ การเข้าโค้งก็นุ่มนวลดีมาก หลังจากขี่อย่างสบายใจมาราวๆ 50 โล ผมก็ยอมรับว่ามันควบคุมได้ดีจริงๆ

Freddie ซึ่งไม่เคยขี่รถคันใหม่นี้มาก่อน ก็รู้สึกเหมือนกันกับผมหลายเรื่องเลย หลังจากได้ลองขี่มันอยู่ 3 วัน “เบรคนั้นยอดเยี่ยมมากเลยครับ ที่สุดที่ผมเคยใช้มาเลย มันช่วยให้ขี่ได้มั่นใจมากๆ ผมทำให้ ABS ทำงานแค่ตอนครั้งที่ 5 ที่ผมพยายามจะทำให้มันทำงาน การเข้าโค้งเองก็นิ่งมากๆ และผมก็ได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้จะอยู่บนถนนที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม’

ไม่รู้ว่ายังไง แต่ Honda ได้ทิ้งเอาลูกเล่นที่ทำให้เจ้า CBR คันเก่านั้นดูดีออกไป และสร้างอะไรที่มันดูมีประสิทธิภาพขึ้นมาแทน โดยใช้ชิ้นส่วนที่ถูกกว่าและเรียบง่ายกว่า

แต่มันก็มีข้อดีของมัน เพี่อเป็นการยกย่องความนิ่งที่น่าทึ่งของมันนั้น คุณต้องขี่มันราวกับว่าคุณไปขโมยมันมา  Honda บอกว่า 650 นี้เป็นเครื่องยนต์ใหม่หมดจดที่เน้นในช่วงรอบกลาง อย่าคิดว่าผมล้อเล่นนะครับ Freddie นั้นผละจากรถเข้าเองเพื่อมาขี่ Honda แม้จะเคยบอกว่าสปอร์ตไบค์ 4 สูบคันนี้มันช้ากว่าอีแก่คันเก่าของเขา ต่อมาเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จริงเลย ตราบใดที่คุณยังเร่งเครื่องมันอยู่ ‘พลังของรอบกลางนั้นน้อยมาก เปิดคันเร่งเต็มที่แล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณต้องเค้นมันหนักๆ เพื่อให้ได้การตอบสนองจากเครื่องยนต์’ เทียบกับ Yamaha Tracer ไม่ได้เลย นอกเสียจากว่าคุณจะเร่งไปจนถึง 9,500 – ถึง 11,000 รอบ ไม่งั้นคุณก็จะรู้สึกไม่มีอะไรตอบสนอง

นี่มันน่าแปลกเพราะว่าซีซีที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงชักที่ยาวขึ้น (46 มม. จากเดิมของเครื่อง CBR600F ที่ 42.5 มม.) โดยปกติแล้วมันน่าจะให้แรงบิดที่มากขึ้น แต่ผมเดาว่าน่าจะมาชดเชยในส่วนที่หายไปเนื่องจากเรื่องของมาตรฐานไอเสีย

Honda บอกว่าเจ้า 650 เป็นรถที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง โดยเฉพาะท่านั่ง สรีระศาสตร์และการควบคุมนั้นทำได้ดีมากๆ อย่างที่คุณหวังเอาไว้เลย เรือนไมล์ LCD แบบแยกสองส่วนเองก็ดูดีไม่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้ชุดเกียร์ แผงควบคุม และไฟหน้า LED นั้น Honda ได้วิจัยมาแล้วว่าต้องทำยังไงคนขับรถยนต์ถึงจะมองเห็นเรา นี่ทำให้มันเหมาะกับการขับขี่ในเมืองอย่างยิ่ง

ในความเป็นจริงแล้ว Honda ทำให้เรานึกถึงรถในปี 1990 ที่ควบคุมได้ดีไร้ที่ติ และพลังที่เหลือเฟือ ตอนนั้นเป็นช่วงที่สปอร์ตไบค์ในคลาสมิดเดิ้ลเวทนั้นเร่งมันติดมือดีจริง แต่ทุกวันนี้พวกเราพากันแก่และหัวหงอกหมดแล้ว ซึ่งตอนนี้สำหรับเราแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว

‘คุณต้องขี่มันราวกับว่าคุณขโมยมันมาเลยล่ะครับ’

 

Big leans are more about having faith in the tyres than anything else – การแบนเยอะๆ นั้นต้องมีความศรัทธาในยางมากกว่าสิ่งอื่นใด

Above: delete the quality of the Honda and the modernity of the Yamaha Below: ER is solid and dependable, and there it ends – ด้านบน: ลืมเรื่องคุณภาพของ Honda และความล้ำของ Yamaha ไปได้เลย ด้านล่าง: ER นั้นนิ่งและวางใจได้สบาย

 

Kawasaki ER-6f

ชีวิตในสมัยใหม่นี้คือการแข่งขัน แต่ ER-6f ที่เก๋าเกมของ Kawasaki นั้นไม่ได้เกิดมาเพื่อแข่งขัน

มันมีบางสิ่งที่เป็นเหมือนเวทย์มนต์กับการได้แบ่งปันการขับขี่ที่บ้าระห่ำกับคนที่ชอบเดินทาง การได้หวดมันไปในถนนสายรอง แนวพุ่มไม้ผ่านตาเราไปอย่างรวดเร็ว เข็มวัดรอบวิ่งผ่าน 10,000 รอบ Lydia ที่สูง 157.5 กอดผมเหมือนลูกลิง ผมมีภารกิจต้องเก็บภาพมาฝาก ส่วนหล่อนนั้นต่องรีบกลับรถไฟให้ทัน ทั้งหมดคือข้ออ้างที่เราจะหวดเข้า Kawasaki ให้หนำใจอยู่หลายกิโล และเมื่อเราไปถึงสถานีเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่าราวกับเด็กๆ ได้เล่นสนุก

ER-6f ทำให้เราไร้ซึ่งความกังวลได้ ท่านั่งนั้นดูแปลกไปหน่อยเพราะมันคือสปอร์ตไบค์กับแฮนด์บาร์ราบ ความสัมพันธ์ระหว่างคันเร่งและล้อหลังนั้นค่อนข้างจะเป็นไปได้ด้วยดี เครื่องยนต์นั้นให้กำลังดีที่ 8,500 รอบ แต่ก็สามารถเร่งได้อีกราว 2,500 รอบ ซึ่งเป็นจุดที่เสียงเครื่องนั้นเหมือนจะระเบิด แต่ไม่ต้องห่วงครับเครื่องมันจะระเบิดก็ต่อเมื่อถูกจูนให้ได้ 90 ม้าเพื่อใช้แข่งนั่นล่ะครับ

มันไม่เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่ปี 2012 ER พร้อมแฟริ่งยังคงเป็นรถใช้งานทั่วไปที่ยอดนิยม ความสูงเบาะก็ไม่มากไป Lydia หญิงร่างเล็กของเราสามารถเอาปลายเท้าแตะพื้นได้พอดี ซึ่งทางด้าน CBR นั้นสูงกว่าเล็กน้อย ส่วนเจ้า Tracer นั้นสูงกว่านั้นอีก 5 เซ็น การปรับโฉมครั้งล่าสุดนั้นทำให้ท่อไอเสีย พักเท้า แคร้งเคสและแฟริ่งนั้นดูกลมกลืนลงตัว ทำให้มันดูแข็งแรงและพึ่งพาได้ _

พอสตาร์ทเครื่องยนต์สองสูบเรียงของมันขึ้นมา ท่อไอเสียใต้ท้องรถของมันก็ปล่อยเสียงคำรามแห้งๆ แบนๆ สู้เจ้า 650 ไม่ได้ เครื่องยนต์นั้นย้อนไปได้ถึง ER-6f รุ่นแรกในปี 2005 และก่อนหน้านั้นที่เป็น 2 สูบ 500 ซีซี ตลอดเวลาที่ผ่านมามันก็ยังให้กำลังเครื่องยนต์ที่ไม่ต่างกัน ผมลองเปิดคันเร่งเพื่อเร่งเร้ามันและตามหาพลังของมัน แต่พอสายคันเร่งยืดแล้วแต่เครื่องยนต์ก็ยังช้าในช่วงแรกจากนั้นจึงจะตอบสนองกลับ หากคุณเป็นมือใหม่คุณอาจจะไม่รู้สึก แต่เมื่อคุณได้ลอง Ducati (หรือ Tracer) คุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ‘ที่ดีที่สุดที่คุณพูดได้คือเครื่องยนต์ของมันพร้อมให้แรงขับเคลื่อน’ นั้นคือสิ่งที่ Martin Fitz-Gibbons อธิบายให้เราฟัง Freddie ที่ไม่คุ้นเคยกับรถสมัยใหม่นัก ก็ให้ข้อสังเกตคล้ายคลึงกัน ‘มันให้แรงบิดที่ดี ดังนั้นเวลาซอกแซกช่องว่างเวลารถติดก็น่าจะดีไปด้วย แต่มันยังมีฝืนๆ บ้างจนกว่าคุณจะไปถึงรอบสูงๆ นั่นล่ะครับ’ โชคดีที่เราชอบรอบสูงๆ ด้วย และเสียงของมันก็เร้าใจดี

ผมชอบท่านั่งที่เหมือนขี่สตรีทไฟเตอร์ของมันจริงๆ แฮนด์บาร์ราบๆ ของมันให้วิสัยทัศน์บนถนนได้ดี ไม่ต้องก้มมากนักเหมือนกับตอนขี่แฮนด์จับโช้ค และใช้งานได้ดีแม้ตอนที่เบรคและต้องเจอกับอาการคนซ้อนไหลมากระแทกหลังคุณ Freddie ที่สูง 182 แน่นอนว่าไหล่ของเขากว้างกว่าของผม พบว่าแฮนด์บาร์นั้นโน้มมาด้านหลังมากไป ทำให้เขาต้องหนีบศอกเข้าหากันและทำเอาข้อมือเจ็บ พักเท้าเองก็สูงเกินไปสำหรับขายาวๆ ของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะตัวใหญ่เกินจะขี่มัน แต่สำหรับผมแล้วมันผมขี่มันทัวร์ยุโรปได้สบายๆ เลย

ผมบอกว่าแฮปปี้ได้เพราะว่าขณะที่ผมขี่ชิลล์ๆ ที่ 150 กม./ชม.บนมอเตอร์เวย์และในเมืองแล้วมันสบายมาก แต่ในถนนที่คดเคี้ยวแล้วมันก็ควบคุมได้ยากกว่าเดิมนิดหน่อย เลย์เอาท์ของรถโดยพื้นฐานแล้วใกล้เคียงกับของเจ้า Tracer แต่การดูดซับแรงกระแทกนั้นไม่ดีเท่า คุณจะได้โช้คที่เด้งดึ๋งซึ่งกลายเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของ Kawasaki เกือบทุกคันในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ไปซะแล้ว การแบนโค้งมากๆ ต้องอาศัยศรัทธาที่มีอยู่ในยาง Dunlop D214 Sportmax มากกว่าจะอาศัยการตอบสนองผ่านมาที่เบาะและแฮนด์ซะอีก ‘ช่วงล่างนั้นดูเหมือนจะกระด้างมาก’ Freddie บอก ‘คุณจะสัมผัสได้ถึงความขรุขระทุกครั้งและมากกว่ารถคันอื่นๆ มันอาจจะทำให้ล้อหน้าเสียอาการได้เวลาเร่งความเร็ว’ จะให้ดีคุณต้องหนีบถัง เกร็งท้องและจับแฮนด์หลวมๆ ไว้แล้วรถจะนิ่งมากขึ้น

การใช้งานในประจำวันนั้นก็ถือว่าค่อนข้างดี ไฟหน้าส่องสว่างได้ดี มีที่ให้เกี่ยวสายรัดมากมาย น้ำมันหนึ่งถังใช้วิ่งได้ไกลถึงราวๆ 180 โล สามารถติดหมุดตั้งแสตนด์ได้ แต่ก็มีส่วนที่ทำให้ผมผิดหวังอยู่เหมือนกันนั่นก็คือเบรคที่น่าจะดีเหมือนกับของ Honda และ Yamaha แต่ก็ไม่ มันไม่จิกเท่า และต้องใช้เบรคหลังช่วยชดเชย นอกจากนี้ผมยังเห็นสีลอกบริเวณฝาถังน้ำมันด้วย

ER-6f เป็นรถที่ขี่ได้สนุกทีเดียวและราคาเองก็ถูกกว่าเจ้า Tracer แต่เอาจริงๆ เลยเจ้านี่ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นรถเก่าจากยุคที่แล้ว

 

‘สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะพูดถึงมันได้คือมันพร้อมที่จะทะยานไปกับคุณ’

 

Feels like something from a previous generation but without the fuzzy warmth of nostalgia – มันให้ความรู้สึกเหมือนรถที่มาจากยุคที่แล้ว แต่ไม่ได้มีความรู้สึกที่ชวนให้นึกถึงอดีตที่แสนหวาน

 

มันยากที่จะตัดสินใจว่า Tracer มันอยู่ตรงตำแหน่งไหน มันมีท่านั่งหลังตรงใกล้เคียงกับ Kawasaki Versys 650 แต่ Yamaha บอกว่ามันเป็นสปอร์ตทัวริ่งที่เร้าใจและใช้งานได้หลากหลาย และเจ้า ER-6f เองก็เป็นรถระดับกลางที่มีความสามารถรอบด้าน ในขณะที่ CBR นั้นมีความสปอร์ตมากกว่าและเป็นรถที่ขายดีสุดๆ ในคลาส 126 – 650 ซีซี

ลำดับที่ 3 คือ Kawasaki หลายๆ คนชอบ ER แต่เทคโนโลยีและความคุ้มค่านั้นเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าคุณไม่ได้สนใจเรื่องของเครื่องยนต์และการควบคุม และคุณสามารถหาข้อเสนอดีๆ ได้ เจ้า ER ก็จะยังคงตอบโจทย์ ไม่งั้นคุณก็ควรมองหาคันอื่นต่อไป

ลำดับที่ 2 ตกเป็นของ Honda มันเหมือนชายหนุ่มที่ยังคงดื่มฉลองในวันปีใหม่ และเมาจนไม่รู้ว่าทำไมปาร์ตี้ต้องเลิกรา มันควบคุมได้ยอดเยี่ยมและออกแบบมาได้อย่างดี แต่ตอนนี้มีคนสักเท่าไหร่กันที่ชอบสปอร์ตไบค์ที่เร่งได้ดีแต่มาพร้อมการสั่นสะเทือนที่น่าหงุดหงิด ไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ มากไปกว่า ABS และแรงม้าแค่เพียง 85 ตัว?

อันดับ 1 คือ Yamaha มันตกเป็นรองจากเจ้า R1 และ S 1000 RR แต่มันเป็นรถที่ใช้งานจริงและมีประโยชน์มากกว่า และผมก็พอใจในตัวมันมาก ผมอยากจะบอกว่ามันคือโร้ดไบค์ที่ขี่ได้ง่ายที่สุดที่ผมเคยลองขี่มา มันเบา คล่องตัวและขี่สนุกทุกครั้งที่ได้คร่อมมัน ลองเทสต์ไรด์ดูสักครั้งแล้วจะเข้าใจครับ

‘Tracer 700 คือโร้ดไบค์ที่ขี่ได้ง่ายที่สุด มันเบา คล่องตัวและขี่สนุกทุกครั้งที่ได้คร่อมมัน’

‘เจ้า Tracer นั้นดูคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป มันคือ Fazer 600 ยุคใหม่ นอกจากราคาจะเหมาะสมแล้ว เจ้าTracer ยังสามารถที่จะหนีออกจากกับดักไม่เหมือนกับรถค่ายอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียงระดับกลางเหมือนๆ กัน’ Jon Urry นักข่าวกล่าว

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้

- Advertisement -

Related Articles

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่