SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

ราคาและสเปคมอเตอร์ไซค์

  • All Posts
  • ราคาและสเปครถมอเตอร์ไซค์
Ducati Multistrada V4S 2025 เปิดตัว ยานทัวริ่ง พร้อมฟังก์ชันไฮเทค

Ducati Multistrada V4S 2025 ยานทัวริ่ง พร้อมฟังก์ชันไฮเทค Ducati Multistrada V4S 2025 ตัวจบของสายเดินทางสำหรับสุดยอดทัวริ่งไบค์จากดูคาติ ที่ให้ความคอมฟอร์จสะดวกสบายตลอดการขับขี่ด้วยช่วงล่างกึ่งแอ็คทีฟที่ให้ความสมูท รีแล็กซ์ในทุกองศาของการขับขี่ แถมเติมเต็มออดีนาลีนความสปอร์ตด้วยการออกแบบให้ตรงตามหลักแอโรไดนามิก ผ่านขุมพลัง V4 Granturismo ให้พละกำลังสูงสุด 170 แรงม้า พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้เพลิดเพลินไปกับการขับขี่ได้บนทุกเส้นทางได้เต็มพิกัด  ราคาแนะนำ  รุ่น V4S ราคา 1,299,000 บาท รุ่น V4 ราคา 1,099,000 บาท  ดีไซน์สปอร์ต ดุดัน แอโรไดนามิก จอสี TFT ขนาด 6.5 นิ้ว เครื่องยนต์ Granturismo V4 90 องศา ขนาด 1,158 ซีซี ช่วงล่างไฟฟ้า คาลิเปอร์ Brembo พร้อมยาง Pirelli Scorpion Trail II สเปค Ducati Multistrada V4S 2025 ราคาและรายละเอียดอื่นๆ  เครื่องยนต์ Granturismo V4 90 องศา ระบายความร้อนด้วยของเหลว ปริมาตรกระบอกสูบ 1,158 ซีซี แรงม้า (เคลม) 170 แรงม้าที่ 10,750 รอบ แรงบิด (เคลม) 124 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบ ระบบวาล์ว 4 วาล์วต่อลูกสูบ ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 83 x 53.5 มม. อัตราส่วนการอัด 14 : 1 ระบบเกียร์ 6 สปีด ระบบจุดระเบิด อิเล็กทรอนิกส์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า ระบบคลัตซ์ คลัตช์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ขนาดยางและล้อหน้า 120/70-17 แบบไม่ใช้ยางใน ยาง Pirelli Scorpion Trail II ขนาดยางและล้อหลัง 170/60-17 แบบไม่ใช้ยางใน ยาง Pirelli Scorpion Trail II ระบบกันสะเทือนหน้า รุ่น V4S – โช้คหัวกลับขนาดแกน 50 มม. ปรับไฟฟ้าเต็มระบบ และยังสามารถปรับได้แบบปรับกึ่งอัติโนมัติด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่พร้อมตอบสนองตามสภาพท้องถนน รุ่น V2 – โช้คหัวกลับ ปรับคอมเพรสชันและรีบาวด์ได้ ระบบกันสะเทือนหลัง รุ่น V4S – โช้คเดี่ยวปรับไฟฟ้าเต็มระบบ / ระบบเซมิแอ็คทีฟและปรับอัติโนมัติระหว่าง 10 – 50 กม./ชม. รุ่น V2 – โช้คเดี่ยว ปรับพรีโหลดได้ผ่านปุ่มรีโหมด เบรกหน้า รุ่น V4S – ดิสก์เบรกคู่ขนาด 330 มม. คาลิเปอร์โมโนบล็อกเรเดียลเม้าท์ 4 ลูกสูบจาก Brembo Stylema  รุ่น V4 – ดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. คาลิเปอร์ Brembo โมโนบล็อก 4 ลูกสูบ  เบรกหลัง ดิสก์เบรกเดี่ยวจากขนาด 280 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบจาก Brembo กว้าง X ยาว  X สูง NA ระยะฐานล้อ 1,566 มม.  ระยะห่างจากพื้นตัวรถ NA ความสูงเบาะ 840 มม. – 860 มม.

  • All Posts
  • ราคาและสเปครถมอเตอร์ไซค์
Jorge Martin เผยความรู้สึกหลังย้ายซบ Aprilia ปี 2025

Jorge Martin เผยความรู้สึกหลังย้ายซบ Aprilia ปี 2025 Jorge Martin จ่าฝูงในการแข่งขัน MotoGP ประจำฤดูกาล 2024 ได้เปิดเผยความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจสำคัญในการย้ายจากทีม Ducati ไปยัง Aprilia ในปี 2025 โดยในการย้ายทีมหนนี้เขาจะต้องทิ้งมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอย่าง Ducati GP24 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดในกริด MotoGP ณ เวลานี้ มาร์ตินได้รับคำถามถึงความรู้สึกของเขาที่จะต้องจากดูคาติเพื่อไปอยู่กับต้นสังกัดใหม่ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่ในระยะยาว เขาได้ให้คำตอบว่า “มันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดี หรืออาจจะไม่ดีก็ได้ เราก็ไม่รู้” โดยมาร์ตินยืนยันว่าเขาจะมุ่งมั่นในการแข่งขันสนามสุดท้ายในปีนี้ และไม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตจนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริง ๆ แม้ว่าจะมีการตั้งคำถามถึงการตัดสินใจย้ายทีมของมาร์ติน โดยเฉพาะหลังจากที่ดูคาติมีการเตรียมมอบรถแข่งของทีมโรงงานให้กับเขาในปี 2025 แต่สุดท้ายกลับเลือกมาร์ค มาร์เกซแทน มาร์ตินยืนยันว่าเขาไม่เคยทบทวนการตัดสินใจนี้เลย “ไม่มีทางเลย” เขากล่าว “ผมได้เดินตามความฝันของตัวเองและหวังว่าจะทำให้มันเป็นจริงได้” ในมุมมองของมาร์ติน การย้ายทีมครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากความโกรธที่ถูกทีมโรงงานปฏิเสธ แต่เป็นการตัดสินใจที่เขาคิดว่าน่าจะทำให้เขาไปถึงฝันของตัวเองได้ การย้ายไป Aprilia จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ในการแข่งขัน MotoGP และจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการแข่งขันกับทีมโรงงานที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงใน MotoGP จะชัดเจนขึ้นในปี 2025 เมื่อดูคาติจะมีนักแข่งหลักอย่าง เปกโก้ บัญญาญ่า และ มาร์ค มาร์เกซ ร่วมทีมในแผนงานใหม่ และลดจำนวนรถแข่งจาก 4 คันเหลือ 3 คัน จะทำให้การแข่งในปีนั้นมีความตื่นเต้น และมีความท้าทายยิ่งขึ้น สำหรับมาร์ติน การตัดสินใจย้ายไปทีม Aprilia ในปี 2025 เป็นการตัดสินใจที่มุ่งหวังการเติบโตในอาชีพของเขา แม้ว่าจะต้องแลกกับการทิ้งมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดในปัจจุบันไปก็ตาม และการแข่งขันสนามสุดท้ายจะตัดสินกันที่สนาม Circuit de Barcelona-Catalunya ในวันที่ 15-17 พฤศจิกายนนี้ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Aprilia SX และ RX 125 ไซส์เล็ก สมรรถนะไม่เล็ก

2025 Aprilia SX และ RX 125 ไซส์เล็ก สมรรถนะไม่เล็ก 2025 Aprilia SX และ RX 125 รถแนวออฟโรดที่สืบทอด DNA การแข่งขันออฟโรดของ Aprilia ที่มีมายาวนาน มอเตอร์ไซค์ประเภทนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดการสร้างรถน้ำหนักเบาที่มีสมรรถนะสูง ขับขี่สนุกทั้งในชีวิตประจำวัน และบนเส้นทางออฟโรดที่ท้าทาย SX และ RX 125 ทั้งสองโมเดลนี้มีพื้นฐานทางเทคนิคเดียวกัน แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ตอบสนองความชอบที่แตกต่างกัน SX 125 เป็นซูเปอร์โมโตที่ Aprilia ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสนุกบนถนนและในสนาม ส่วน RX 125 เน้นการขับขี่ออฟโรด พร้อมลุยทุกสภาพพื้นผิว ทั้งสองรุ่นนี้ตอบโจทย์นักขี่มือใหม่ที่ต้องการสมรรถนะ สไตล์ และความปลอดภัยในการขับขี่ (สองรุ่นนี้เหมือนกันสามารถแยกได้ด้วยล้อ) ดีไซน์ใหม่ที่เพรียวบางกว่าเดิม   การออกแบบดีไซน์ที่มีความล้ำสมัย สไตล์สะท้อนความเป็นมอเตอร์ไซค์ออฟโรด ตัวถังถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด เรียบเนียนจากหน้าไปหลัง ทำให้รถดูเพรียวและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น พร้อมท่อไอเสียแบบสั้นที่มีฝาครอบสีดำด้าน ช่วยเสริมดีไซน์ให้โดดเด่น โครงรถ เครื่องยนต์ สวิงอาร์ม ล้อ และแฮนด์บาร์อะลูมิเนียมแบบสองส่วน ตกแต่งด้วยสีดำเงาที่สวยงาม ใต้เบาะติดตั้งช่องเสียบ USB (มีให้เลือกเป็นอุปกรณ์เสริม) เครื่องยนต์ขนาดเท่ากัน ทั้งสองโมเดลใช้เครื่องยนต์เดียวกัน ได้แก่ เครื่องยนต์แบบสูบเดียว ระบายความร้อนด้วยน้ำ 15 แรงม้า ที่ 10,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 11.5 นิวตันเมตร ที่ 8,500 รอบต่อนาที มาพร้อมล้อขนาด 17 นิ้วและยางสปอร์ต ทำให้เป็นหนึ่งในมอเตอร์ไซค์ 125 ซีซี ที่เหมาะกับการขับขี่บนถนนมากที่สุด โดดเด่นด้วยความคล่องตัว น้ำหนักเบา และสมรรถนะสูงสุดในคลาส  ระบบเบรกที่แตกต่างกัน แม้จะใช้เครื่องยนต์ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ช่วงล่างของทั้งสองคันก็มีความแตกต่างกัน (แตกต่างแค่บางจุดเท่านั้น) ระบบเบรกของรุ่น SX จะมาพร้อมดิสก์เบรกหน้าขนาด 300 มม. คาลิเปอร์แบบสองลูกสูบ ดิสก์เบรกหลังขนาด 220 มม. ล้อขนาด 17 นิ้วเท่ากันทั้งด้านหน้า และด้านหลัง  ระบบเบรกและขนาดล้อของ SX 125 ระบบเบรกและขนาดล้อของ RX 125   ส่วนรุ่น RX จะมาพร้อมดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหน้าขนาด 260 มม. และดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหลังขนาด 220 มม. มาพร้อมล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว และล้อหลังขนาด 18 นิ้ว แต่สิ่งที่เหมือนกันคือระบบกันสะเทือน โช้คหน้าแบบ USD ขนาดแกนอยู่ที่ 41 มม. ให้ระยะยุบถึง 240 มม. ส่วนด้านหลังมีสวิงอาร์มยาวเพื่อเพิ่มการยึดเกาะ พร้อมโช้คเดี่ยวที่ให้ระยะยุบอยู่ที่ 210 มม. เทคโนโลยีที่ทันสมัย รุ่น SX และ RX มาพร้อมกับไฟ LED เต็มรูปแบบ และแผงหน้าปัดดิจิทัลแบบสีที่ทันสมัย จอแสดงผลอ่านง่าย มีมาตรวัดรอบใหม่ที่โดดเด่นด้วยสีไล่เฉดจากสีขาวถึงสีแดง แผงหน้าปัดแสดงตำแหน่งเกียร์ และข้อมูลการเดินทางทั้งหมด รวมถึงความเร็วสูงสุด ความเร็วเฉลี่ยและความเร็วปัจจุบัน เวลาการเดินทาง รวมไปถึงอัตราการใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ย ไม่เพียงแค่จอที่มีความน่าสนใจ แต่ยังติดตั้งระบบ Bosch ABS พร้อมโหมดป้องกันการพลิกคว่ำ โดยระบบจะทำงานที่ล้อหน้าเพื่อควบคุมการเบรก และป้องกันการยกล้อหลังในขณะเบรกกะทันหัน สีสันที่วางจำหน่าย Aprilia SX 125 และ RX 125 มีให้เลือกสองสีใหม่ ได้แก่ Cubozoa White ซึ่งเป็นตัวถังสีขาวพร้อมกราฟิกสีม่วง และ Varanus Black ที่ผสมผสานสีดำกับสีแดงในสไตล์คลาสสิกของ Aprilia Aprilia SX 125 Aprilia RX 125 Cubozoa White Varanus Black   ในส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมอื่น ๆ เเละราคาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการน่าจะต้องรอการอัพเดทจากทาง Aprilia ว่าจะเปิดที่เท่าไหร่ เเล้วจะมีเพลนเข้าไทยหรือไม่ แต่ถ้าเข้าไทยมาบอกเลย ช่างไทยจัดให้แบบจี๊ดจ๊าดแน่นอน อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ

Concept F 450 GS สายลุยรุ่นใหม่จาก BMW

Concept F 450 GS สายลุยรุ่นใหม่จาก BMW BMW Concept F 450 GS แอดเวนเจอร์ไบค์ไซส์กลาง ที่เข้าถึงง่ายสำหรับสายลุย ซึ่งใกล้จะเริ่มเปิดสายพานการผลิตเวอร์ชันจริง ซึ่ง BMW Motorrad เปิดให้เห็นภาพของ BMW GS สำหรับใบขับขี่ระดับ A2 โดยโมเดลที่จะเป็นใหม่นี้จะเป็นการเติมเต็มช่องว่างระหว่างรุ่น G 310 GS และ F 800/900 GS ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ “ในโมเดลนี้เรามี DNA ที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูล GS และเราประสบความสำเร็จในการออกแบบคอนเซปต์นี้ให้มีความดึงดูดใจในเชิงสปอร์ตและความคล่องตัวของไอคอนออฟโรดขนาดใหญ่ของเรา ในรูปแบบที่กะทัดรัดเป็นพิเศษ” Alexander Buckan หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ BMW Motorrad กล่าว เครื่องยนต์พัฒนาใหม่ ในส่วนของรายละเอียดเครื่องยนต์ทางค่ายยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมามากนัก จะเปิดเผยแค่เพียงบางส่วนเท่านั้นซึ่งโมเดลนี้ยังคงให้คุณภาพระดับพรีเมียมด้วยเครื่องยนต์แบบสองสูบเรียงขนาด 450 ซีซีให้พละกำลังที่ 48 แรงม้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ออกแบบการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ใหม่ โครงสร้างน้ำหนักเบาและขนาดที่กะทัดรัดทำให้เครื่องยนต์นี้ไม่เพียงแค่คล่องตัว แต่ยังมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยใหม่ ๆ  สมรรถนะเหมาะทั้งถนนและออฟโรด มาพร้อมเทคโนโลยีระดับพรีเมียม และพัฒนาเพื่อความสามารถในการขับขี่ออฟโรดที่ยอดเยี่ยม รวมถึงความคล่องตัวและการควบคุมบนถนน ติดตั้งโช้คกลับหัวและโช้คอัพที่ปรับตามน้ำหนัก ซึ่งได้รับเทคโนโลยีจากการแข่งแรลลี่และเอนดูโร่ โครงสร้างน้ำหนักเบาและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่ล้ำสมัยทำให้รถมีน้ำหนักที่ 175 กิโลกรัม เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกพร้อม เนื่องจากเป็นรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นพี่อย่าง BMW R1300 GS จึงติดตั้งระบบมาตรฐานความปลอดภัยและฟังก์ชันระดับเดียวกัน ประกอบด้วย BMW Motorrad ABS Pro (ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกที่ปรับตามมุมเอียง), ระบบเบรกสมรรถนะสูง และโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังมาพร้อม BMW Connectivity และหน้าจอ TFT ขนาด 6.5 นิ้ว จึงทำให้การเชื่อมต่อระหว่างมอเตอร์ไซค์กับสมาร์ทโฟน รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ง่ายดายมากยิ่งขึ้น โดยในโมเดลใหม่นี้ทาง BMW Motorrad วางแผนที่จะเปิดตัวในช่วงปี 2025 สาวก R1300GS ท่านไหนที่อยากขี่ตัวใหญ่แต่ดูท่าทางแล้วขาไม่ค่อยถึง ให้ 450GS ตัวนี้เป็นคำตอบ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Honda PCX125 เปิดโฉมใหม่ที่ EICMA 2024

Honda PCX125 เปิดโฉมใหม่ที่ EICMA 2024 Honda PCX125 เปิดตัวไปแล้วอย่างเป็นทางการในงาน EICMA 2024 ที่ประเทศอิตาลีโดยในโมเดลใหม่นี้มีการปรับดีไซน์ใหม่ และเพิ่มเทคโนโลยีใหม่มาพร้อมจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ให้เหมือนรุ่นพี่ อย่าง Forza350 และ ADV350    ปรับโฉมดีไซน์ใหม่   การดีไซน์ออกแบบทำออกมาได้มีความพรีเมียม โดดเด่น โฉบเฉี่ยว ทั้งสามอย่างผสมกันอย่างลงตัว ระบบไฟส่องสว่างแบบ LED รอบคัน มีการบิ้วอินไฟเลี้ยวมาคู่กับไฟหน้า ถูกใจสาวก PCX บ้านเราอย่างแน่นอน จับแต่งนิด ถอดกระจกหน่อย ก็กลายเป็น สกูตเตอร์แนวสปอร์ต ได้เลย เครื่องแรง แถมประหยัด   เครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 125 ซีซี พละกำลังสูงสุด 12.3 แรงม้า ที่ 8,750 รอบต่อนาที และแรงบิด 11.7 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที ถังน้ำมันเชื้อเพลิงมีขนาด 8.1 ลิตร และทางโรงงานเคลมมาว่าอัตราการประหยัดอยู่ที่ 47.6 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าประหยัดพอสมควร จะขี่ไปใกล้ ๆ หรือออกไปไกลหน่อยก็หายห่วง ช่วงล่างใหม่   โช้คอัพด้านหน้ายังคงอนุรักษ์นิยมแบบ เทเลสโคปิก ที่มีขนาดแกนอยู่ที่ 31 มม. แต่ความพิเศษคือรุ่นนี้ให้โช้คหลังคู่แบบมีซับแทงค์ ที่มีระยะยุบ 95 มม. ล้อหน้า และล้อหลังมีขนาดอยู่ที่ 110/70-14 และ 130/70-13 ตามลำดับ ส่วนระรบบเบรกเป็นดิสเบรกเดี่ยวทั้งด้านหน้า และด้านหลัง มีขนาดเดียวกันอยู่ที่ 220 มม. ซีซีเล็ก เทคโนโลยีครบ   จอสีใหม่ TFT ขนาด 5 นิ้ว แบบพี่ใหญ่เรือธงของค่าย แสดงข้อมูลสำคัญครบถ้วน รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน Honda RoadSync อีกทั้งยังมาพร้อมช่องจ่ายไฟแบบ USB-C ระบบเบรก ABS, แทรคชัน คอนโทรล (HSTC), ระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติขณะติดไฟแดง (Idling Stop) และระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) สีสันที่วางจำหน่าย สีเทาเมทัลลิค สีดำเมทัลลิค สีน้ำเงิน สีขาวมุก สีแดง ในส่วนของโมเดลขนาด 125 ซีซีจะวางจำหน่ายแค่ประเทศทางฝั่งยุโรปเท่านั้น และโมเดลที่คาดว่าจะเข้าไทยอาจจะเป็นในโมเดล PCX160 แน่นอน แต่ว่าจะเข้าไทยเมื่อไหร่นั้น กดติดตาม SuperBike Thailand ไว้ได้เลย จะมาอัพเดทข้อมูลอย่างแน่นอน อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Yamaha MT-03 เฉดสีใหม่ เร้าใจมากขึ้น

2025 Yamaha MT-03 เฉดสีใหม่ เร้าใจมากขึ้น 2025 Yamaha MT-03 เผยโฉมแล้วอย่างเป็นทางการ อีกหนึ่งรถแนว Naked ที่ได้รับ DNA จากรุ่นพี่ในตระกูล MT ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยตัวรถจะเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงสีสันใหม่ของตัวถัง แต่ยังคงรักษาแนวทางในส่วนของสเปคเครื่องยนต์จากโมเดลก่อนหน้าไว้เช่นเดิม เครื่องยนต์ และช่วงล่างเหมือนเดิม เครื่องยนต์ในโมเดลใหม่นี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์ตัวเดิมจากโมเดลก่อนหน้า เครื่องยนต์แบบสองสูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 321 ซีซี พละกำลังที่ 42 แรงม้าที่ 10,750 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 29.5 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ 6 สปีด ผสานการทำงานกับแฮนด์คลัตช์ ขับขี่สนุกในทุกย่านความเร็ว มาพร้อมถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 14 ลิตร ในส่วนของระบบกันสะเทือนด้านหน้ามาแบบโช้คอัพหัวกลับ เทเลสโคปิก ขนาดแกนอยู่ที่ 37 มม. ระยะยุบตัวอยู่ที่ 130 มม. เพิ่มสมรรถนะการทรงตัว ซับแรงสั่นสะเทือนที่ดีขึ้นทั้งในช่วงทางตรงและทางโค้ง ด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ระยะยุบตัวอยู่ที่ 125 มม. และระบบเบรกด้านหน้าเป็นแบบดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 298 มม. ด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 220 มม. มาพร้อมระบบ ABS เพิ่มความปลอดภัยทุกครั้งที่กำเบรก ขนาดล้ออยู่ที่ 110/70-R17 และ 140/70-R17 ด้านหน้าและหลังตามลำดับ จอกลางใหม่รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เพื่อให้เข้ากับดีไซน์ที่โดดเด่นของ Hyper Naked รุ่นนี้ MT-03 มาพร้อมกับหน้าจอ LCD สไตล์ล้ำสมัยที่แสดงข้อมูลการขับขี่ที่เข้าใจง่าย ไม่ว่าจะเป็น มาตรวัดรอบเครื่องยนต์, ความเร็ว และแสดงตำแหน่งเกียร์ อีกทั้งในโมเดลรุ่นล่าสุดนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอป MyRide เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสายเรียกเข้า และข้อความ (แต่แนะนำว่าควรมีสติ และสมาธิขณะขับขี่รถ) สีสันที่วางจำหน่าย สีเทา (Ice Strom) สีน้ำเงิน (Icon Blue) สีดำ (Midnight Black)   สีสันใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมโมเดลนี้ถือว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีจอกลางแบบใหม่ที่รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ผ่านแอพพลิเคชัน MyRide และในส่วนของราคาวางจำหน่ายแม้จะยังไม่มีแจ้งอย่างเป็นทางการ แต่คาดการณ์ว่าถ้าเข้าไทยราคาจะไม่ห่างจากตัวที่วางขายในปัจจุบันแน่นอน (โมเดลปัจจุบันวางขายในประเทศไทยมีราคาอยู่ที่ 196,500 บาท) แฟน ๆ MT-Series เก็บเงินรอได้เลย อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Yamaha NMAX125 Tech MAX ใหม่หมด หัวจรดท้าย

2025 Yamaha NMAX125 Tech MAX ใหม่หมด หัวจรดท้าย 2025 Yamaha NMAX125 Tech Max เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการในยุโรป เรียกได้ว่าการเปิดตัวโมเดลใหม่ในครั้งนี้ของสกูตเตอร์น้องเล็กจากค่ายส้อมเสียงมาแบบไม่ธรรมดา เพราะมีการปรับโฉมใหม่ยกคัน ให้ดูมีความสปอร์ตสมกับเป็นรถในตระกูล Max Series มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่ตลอดเส้นทาง ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ เพิ่มความสปอร์ต ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ เครื่องยนต์ 125 ซีซี Euro5+ แผงหน้าปัด LCD ด้านบนขนาด 3.7 นิ้ว และหน้าจอสี TFT ด้านล่าง รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบกุญแจสมาร์ทคีย์ ช่องเก็บของใต้เบาะขนาด 25 ลิตร   https://www.youtube.com/watch?v=1Al6_kHDYsE 2025 NMAX125 Tech MAX สเปค และรายละเอียด เครื่องยนต์ เครื่องยนต์สูบเดียว ระบายความร้อนน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 125 ซีซี แรงม้า (เคลม) 12.2 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด (เคลม) 11.2 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที ระบบวาล์ว SOHC 4 วาล์ว ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 52 x 58.7 มม. อัตราส่วนการอัด 11.2 : 1 ระบบเกียร์ อัตโนมัติ ระบบจุดระเบิด TCI ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ระบบหัวฉีด ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า ระบบคลัตซ์ คลัตช์อัตโนมัติแบบแรงเหวี่ยง ระบบส่งกำลังสุดท้าย สายพาน V-Belt ขนาดล้อและยางหน้า 110/70-13M/C แบบไม่มียางใน ขนาดล้อและยางหลัง 130/70-13M/C แบบไม่มียางใน ระบบกันสะเทือนหน้า โช้คอัพแบบเทเลสโคปิก ระยะยุบตัวที่ 100 มม. ระบบกันสะเทือนหลัง โช้คอัพคู่ ระยะยุบตัวที่ 91 มม. เบรกหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 230 มม. เบรกหลัง ดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 230 มม. กว้าง x ยาว x สูง 740 x 1,935 x 1,200 มม. ระยะฐานล้อ 1,340 มม. ระยะห่างจากพื้นถึงตัวรถ 125 มม. ความสูงเบาะ 770 มม. น้ำหนักรถ 132 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 7.1 ลิตร ประเภทของน้ำมันที่เติมได้ N/A เทคโนโลยี ระบบเบรก ABS หน้าจอสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ระบบนำทางจาก Garmin Navigation ช่องจ่ายไฟ USB-C ระบบไฟ Full LED รอบคัน   สีสันที่วางจำหน่าย สีเทา (Ceramic Grey) สีดำ (Dark Magma)   สำหรับราคาวางจำหน่ายของ NMAX125 Tech Max ยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาอย่างเป็นทางการ และสำหรับแฟน ๆ ชาวไทยคนไหนที่ตั้งความหวังจะรอในโมเดลนี้เข้าไทยก็อาจจะต้องฝันสลายเพราะ ไม่มีแผนวางจำหน่ายในประเทศไทย รอรุ่นปรับโฉมของ 155 บอกเลยว่าตึงกว่าเยอะ อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

BMW M RR WSBK รถแชมป์โลกแค่ 54 คันเท่านั้น

BMW M RR WSBK รถแชมป์โลกแค่ 54 คันเท่านั้น BMW M RR WSBK โมเดลใหม่จากค่ายใบพัดที่ผลิตออกมาเพื่อฉลองผลงานอันยอดเยี่ยมให้กับ ‘โทปรัค ราซกัตลิโอกลู’ ที่ทำสำเร็จหลังจากพยายามมาหลายปีในศึก World Superbike Championship ในที่สุด BMW ก็ประสบความสำเร็จในปี 2024 โดย โทปรัค นักบิดจากทีม ROKiT BMW Motorrad WorldSBK คว้าแชมป์ประเภทนักแข่งได้อย่างงดงาม ฤดูกาลนี้ถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่โดดเด่นที่สุดที่เราเคยเห็นมา ราซกัตลิโอกลู จบปีด้วยชัยชนะ 18 ครั้ง และขึ้นโพเดียม 27 ครั้ง แม้จะต้องพักแข่งไปสองรอบกลางฤดูกาลเนื่องจากอาการบาดเจ็บ ตลอด 12 การแข่งขัน เขายังคว้าตำแหน่งโพลได้ 6 ครั้ง และทำเวลาเร็วที่สุดในรอบการแข่งขันอีก 13 ครั้ง หลังจากประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ BMW Motorrad ต้องการเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์อย่างมีสไตล์ Markus Flasch ซีอีโอของ BMW Motorrad กล่าวเกี่ยวกับรถโมเดลใหม่นี้ว่า  “ผลงานอันยอดเยี่ยมของโทปรัคที่คว้าแชมป์โลกมาครอง เป็นโอกาสที่น่ายินดีสำหรับเราที่จะสร้าง M 1000 RR รุ่นจำลองแชมป์โลกแบบแท้ ๆ เพื่อแฟน ๆ ของ BMW Motorrad ที่หลงใหลในมอเตอร์สปอร์ต โดยผลิตเพียง 54 คันเท่านั้น ซึ่งตรงกับหมายเลขประจำตัวของเขา” Champion Edition 2024 พัฒนามาจากรุ่น M1000RR M Competition ในโมเดลปี 2024 มาพร้อมโค้ดเปิดใช้งาน M GPS Laptrigger และสีตัวถัง M Motorsport ในโทน Blackstorm Metallic พร้อมโลโก้ผู้สนับสนุนทีม ROKiT BMW Motorrad WorldSBK รถทุกคันที่มีวางจำหน่ายจะไปพร้อมลายเซ็นจากโทปรัค นอกจากนี้ตัวรถยังมีการติดตั้งชิ้นส่วนคาร์บอนเสริม เช่น ฝาครอบถังน้ำมัน โครงรถ สวิงอาร์ม สายไฟ ฝาครอบคลัตช์ และแผ่นกันความร้อนท่อไอเสีย  และผู้ซื้อจะได้รับบัตรกำนัลสำหรับแลกรับท่อไอเสีย Akrapovič Evolution Line ไทเทเนียมที่เข้าชุดไปเลยแบบฟรี ๆ (ซึ่งคาดว่าน่าจะรวมในราคารถเป็นที่เรียบร้อย) และสิทธิ์สุดพิเศษ ผู้ที่ซื้อรถคันนี้ในเยอรมนีจะมีโอกาสได้ MEET AND GREET พบปะกับ โทปรัค ราซกัตลิโอกลูแบบตัวต่อตัว ซึ่งเขาได้กล่าวปิดท้ายฤดูกาลอันสุดเร้าใจว่า  “นี่เป็นฤดูกาลที่น่าทึ่ง และเราก็ได้เป็นแชมป์โลก ผมขอบคุณ BMW Motorrad ทีมของผม และทุกคนที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จอันยอดเยี่ยมนี้ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับรถ Champion Edition 2024 หมายเลข 1 ซึ่งแน่นอนว่ามันจะได้อยู่จุดที่โดดเด่นในบ้านของผม” ในส่วนของราคาวางจำหน่ายในโมเดลสุดลิมิเต็ดนี้ รถจะผลิตทั้งหมด 54 คัน โดยหมายเลข 01/54 จะมอบให้กับโทปรัค และหมายเลข 54/54 จะเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ BMW ทำให้เหลือเพียง 52 คันสำหรับจำหน่ายเฉพาะในเยอรมนี ราคา 54,000 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,986,560 บาท BMW M1000RR MY 2024 BMW M RR WSBK 2024   เมื่อเทียบกับโฉมปกติอย่าง M1000RR 2024 มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 30,960 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,136,800 บาท ซึ่งในตัวลิมิเต็ดนี้จะแพงกว่าประมาณ 20,040 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 735,760 บาท หากอ่านแล้วรู้สึกสนใจอยากจะครอบครองมาประดับโรงรถที่บ้าน สามารถติดต่อทาง BMW และอิมพอร์ตรถเข้ามาได้เลย คลิ๊กที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Honda ADV350 ปรับสีใหม่ ใส่จอ TFT

2025 Honda ADV350 ปรับสีใหม่ ใส่จอ TFT 2025 Honda ADV350 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน EICMA 2024 ที่ประเทศอิตาลี กับรถที่เป็นขวัญใจขาซิ่งในประเทศไทย ที่มาพร้อมสีสันใหม่ หน้าจอใหม่แบบ TFT เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานมากยิ่งขึ้น หน้าจอกลางใหม่แบบจอสี TFT ขนาด 5 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน Honda RoadSync สามารถใช้ในส่วนของระบบนำทาง, รับสายโทรศัพท์ หรือฟังเพลง ที่ควบคุมได้หมดเพียงแค่ปลายนิ้วโป้งซ้าย นอกจากนี้ยังมีช่อง USB ในกล่องเก็บของหน้าซ้ายสำหรับชาร์จสมาร์ทโฟน และใต้เบาะขนาดใหญ่ 48 ลิตรเก็บของได้อย่างจุใจ ระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยมาพร้อมระบบเบรก ABS แบบ Dual-Channel, ระบบควบคุมแรงบิด Honda Selectable Torque Control (HSTC) 3 ระดับได้แก่ เปิดทั้งสองล้อ, เปิดเพียงล้อเดียว และปิดระบบ Emergency Stop Signal (ESS) จะทำงานและปิดเองอัตโนมัติเมื่อเกิดการเบรกกะทันหัน ระบบสมาร์ทคีย์และระบบป้องกันการโจรกรรม เครื่องยนต์ และ ช่วงล่างแบบเดิม ถึงแม้จะเป็นโมเดลใหม่แต่ก็ยังคงเครื่องยนต์เดิมแบบขาประจำ eSP+ สูบเดียว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดเครื่องยนต์ 330 ซีซี พละกำลังอยู่ที่ 28 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 31.5 นิวตันเมตรที่ 5,250 รอบต่อนาที มาพร้อมถังน้ำมันขนาด 11.7 ลิตรอีกทั้งยังสามารถเคลมได้ไกลกว่า 330 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ถัง ในส่วนของช่วงล่างด้านหน้ามากับโช้คอัพแบบ USD ขนาดแกน 37 มม.มีระยะยุบตัวอยู่ที่ 125 มม.และด้านหลังมาแบบโช้คอัพคู่พร้อมซับแทงค์มีระยะยุบตัวอยู่ที่ 130 มม. ระบบเบรกด้านหน้ามาแบบดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 256 มม. และด้านหลังระบบเบรกดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 240 มม. คู่กับล้ออลูมิเนียมด้านหน้าขนาด 15 นิ้วรัดด้วยยางขนาด 120/70 และด้านหลังล้อขนาด 14 นิ้วรัดด้วยยางขนาด 140/70 สีสันที่วางจำหน่าย สีเทา (Matte Ruthenium Silver Metallic) สีดำ (Pearl Nightstar Black) สีแดง (Hyper Red) สีเทา-ดำ (Matte Coal Black Metallic)   สำหรับราคาวางจำหน่ายที่ประเทศอังกฤษอยู่ที่ 5,899 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 258,900 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ) แต่คาดการณ์ว่าหากเขาไทย ในโมเดลใหม่นี้ราคาจะไม่ต่างจากโฉมก่อน ๆ ที่วางขายในประเทศ เพราะเพิ่มมาเพียงแค่จอ TFT แบบใหม่ และสีสันที่วางจำหน่ายเท่านั้น ไบค์เกอร์สายแต่งรถเตรียมตัว เพราะยังไงก็เข้าไทยแน่นอน อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Yamaha Tenere 700 เครื่องเดิม เติมเทคโนโลยี

2025 Yamaha Tenere 700 เครื่องเดิม เติมเทคโนโลยี 2025 Yamaha Tenere 700 เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการแล้วกับรถสไตล์แอดเวนเจอร์ไบค์ ยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของรถรุ่นเดิม เพื่อสานต่อความเป็นตำนานสายแอดเวนเจอร์จากรุ่นก่อนหน้า พร้อมลุยได้ในทุกเส้นทาง โดยมีการเปิดตัวสองรุ่นย่อยทั้ง Tenere 700 และ 700 Rally เครื่องยนต์แบบเดียวกับ MT-07 ทั้งสองรุ่นย่อยที่เปิดใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์เดียวกัน (และแบบเดียวที่ใช้ร่วมกับรุ่น MT-07) เครื่องยนต์แบบ CP2 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาด 689 ซีซี พละกำลัง 73.4 แรงม้าที่ 9,000 รอบ แรงบิด 68 นิวตันเมตรที 6,500 รอบ มาพร้อมเกียร์ 6 สปีด มาพร้อมถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 15.8 ลิตร อีกทั้งยังมีการปรับมาตรฐานการปล่อยไอเสียใหม่ เพื่อให้รองรับกับมาตรฐาน Euro5+ ช่วงล่างพร้อมลุย จุดที่แตกต่างของสองทั้งสองรุ่นย่อยถ้าจะให้เห็นเด่นชัดนอกจากสีสันแล้วก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องของระบบช่วงล่าง เพราะในรุ่นธรรมดาโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับที่มีขนาดแกนอยู่ที่ 43 มม. มีระยะยุบตัวอยู่ที่ 210 มม. และด้านหลังมาเป็นโช้คอัพเดี่ยวพร้อมซับแทงค์สามารถปรับตั้งค่าได้ด้วยมือ ระยะยุบอยู่ที่ 200 มม. โช้คอัพด้านหน้าของรุ่นธรรมดา โช้คอัพด้านหน้าของรุ่น Rally   ในส่วนของรุ่น 700 Rally จะมาพร้อมโช้คอัพหน้าจาก KYB รุ่นใหม่ที่มีระยะยุบเพิ่มขึ้นจาก 210 มม. เป็น 230 มม. และความสูงในส่วนของโช้คอัพด้านหลังมาเป็นโช้คอัพเดี่ยวพร้อมซับแทงค์ และสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้ด้วยมือ โดยทั้งสองรุ่นย่อยจะมาพร้อมระบบเบรกดิสก์หน้าคู่ ขนาดจาน 282 มม.พร้อมระบบเบรก ABS และด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยว ขนาดจาน 245 มม. พร้อมระบบเบรก ABS เช่นเดียวกัน ไซส์ล้ออยู่ที่ 90/90-R21 รัดด้วยยาง Pirelli Scorpion Rally STR และ 150/70-R18 รัดด้วยยาง Pirelli Scorpion Rally STR ด้านหน้าและหลังตามลำดับ เทคโนโลยีการขับขี่มาพร้อม มาพร้อมหน้าจอ TFT แบบสัมผัสขนาด 6.3 นิ้วที่ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แสดงข้อมูลการขับขี่ครบ อีกทั้งยังสามารถควบคุมการเล่นเพลง การโทรศัพท์ และระบบนำทางผ่านแอพ MyRide ของ Yamaha มีช่องจ่ายไฟแบบ USB-C ที่ช่วยให้สามารถชาร์จมือถือในขณะเดินทางได้  ไม่เพียงแค่แดชบอร์ดที่น่าสนใจ แต่ระบบอื่น ๆ ก็โดดเด่นไม่แพ้กันไม่ว่าจะเป็นระบบคันเร่งไฟฟ้า โหมดการขับขี่ ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (TCS) ที่ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ระบบ ABS โดย ระบบ TCS และ ABS ของรถรุ่นนี้สามารถปิดการทำงานได้เพื่อเพิ่มการควบคุมในการขับขี่ออฟโรด TCS มีสองโหมดคือ เปิดและปิด ส่วน ABS มีสามโหมด ได้แก่ โหมด 1 สำหรับเปิดระบบทั้งสองล้อ โหมด 2 ปิดเฉพาะล้อหลัง และโหมด 3 ปิดระบบทั้งหมด สามารถปรับเปลี่ยนโหมดได้ผ่านเมนูบนหน้าจอ TFT หรือกดปุ่ม ABS ค้างไว้เพื่อปิดการทำงานของ ABS และ TCS อย่างรวดเร็ว ไฮไลท์ของ Tenere 700 Rally ทั้งสองรุ่นย่อยที่มาพร้อมกันดูผิวเผินภายนอกก็แทบจะไม่ค่อยมีความต่างกันมากเท่าไหร่ เพราะเครื่องยนต์ก็ใช้รูปแบบเดียวกัน แต่มันก็ยังมีรายละเอียดในบางจุดที่แตกต่างระหว่างตัวธรรมดา และ Rally  โช้คอัพด้านหน้า-หลังจาก KYB บังโคลนหน้ายกสูงสไตล์ออฟโรด แผ่นกันกระแทกขนาด 4 มม. ที่พักเท้าน้ำหนักเบา   สีสันที่วางจำหน่ายของทั้ง 2 รุ่นย่อย Yamaha Tenere 700 จะมีวางจำหน่ายทั้งหมดสองสีได้แก่ สีน้ำเงิน (Icon Blue) และสีเทา (Frozen Titanium) สีน้ำเงิน (Icon

2025 BRUTALE 1000 RR OTTANTESIMO ทำให้แรร์ เลยผลิตแค่ 500 คัน 

2025 BRUTALE 1000 RR OTTANTESIMO ทำให้แรร์ เลยผลิตแค่ 500 คัน  2025 BRUTALE 1000 RR OTTANTESIMO โมเดลใหม่จากทาง MV Agusta ที่เป็นรุ่นฉลองครบรอบ 80 ปีของแบรนด์ นับตั้งแต่การสร้างเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของบริษัท ซึ่งเป็นเครื่องยนต์แบบสองจังหวะขนาด 98 ซีซี ที่ถูกซ่อนไว้จากกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเข้าสู่สายการผลิตในปี 1945 หลังสงครามสิ้นสุดลง เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบนี้ MV Agusta ได้เปิดตัวรุ่นพิเศษโดยมีการผลิตแค่ 500 คันเท่านั้น  เครื่องยนต์จูนใหม่ ขุมพลังเครื่องยนต์แบบอินไลน์ 4 สูบเรียง ขนาด 998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 201 แรงม้าที่ 13,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 116 นิวตันเมตรที่ 11,000 รอบต่อนาที ได้รับการอัปเดตให้เป็นไปตามมาตรฐาน Euro5+ มาพร้อมกับวาล์วไทเทเนียม 16 ตัว, ก้านสูบไทเทเนียมแบบฟอร์จ และแคมที่เคลือบด้วย DLC (Diamond-Like Carbon) เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ตอบสนองได้ดีขึ้นที่รอบต่ำ ช่วยให้การทำงานราบรื่น และลดการสั่นสะเทือน โดนรุ่นนี้ได้รับการปรับปรุงเทคโนโลยีใหม่ แบบวาล์วรัศมีอันโดดเด่นของ MV Agusta ได้รับการติดตั้ง ECU ใหม่ที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงแผนที่การทำงานแบบใหม่ MV Agusta ยังระบุด้วยว่า ECU ใหม่นี้ช่วยให้การตอบสนองของคันเร่งดีขึ้น และส่งกำลังแรงบิดได้ง่ายขึ้นในทุกสภาพการขับขี่ ช่วงล่างอย่างโหด โช้คอัพ Öhlins ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ครบรอบ 80 ปีทั้งทีจะให้ของธรรมดามามันก็ดูจะแปลก ๆ ไปหน่อย โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ Öhlins Smart EC 3.0 ขนาดแกน 43 มม. ด้านหลังมากับโช้คอัพเดี่ยว Öhlins EC 3.0 TTX แบบ Progressive ที่สามารถปรับการทำงานได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์  ระบบเบรกด้านหน้ามาพร้อมดิสก์เบรคหน้าคู่ขนาด 320 มม.คาลิเปอร์ Brembo Stylema พร้อมล้อหน้าขนาด 120/70-17 ระบบเบรกด้านหลังมากับดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 220 มม. พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo แบบสองลูกสูบ พร้อมล้อหลังขนาด 200/55-17 มาพร้อมยาง Pirelli diablo SuperCorsa SP V4 อีกทั้งยังมีระบบ ABS Continental MK100 มาพร้อมฟังก์ชัน RLM (ป้องกันการยกล้อหลังขณะเบรก) และฟังก์ชันการเบรกขณะเข้าโค้ง ดีไซน์สุดล้ำ  โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดุดันและโฉบเฉี่ยว มีการใช้เส้นสายที่เฉียบคมและทรงพลัง ตัวถังรถถูกออกแบบให้มีลักษณะเหมือนกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและเต็มไปด้วยความดุดัน โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง หล่อ สุขุม ล้ำสมัย โดยมีการผสมผสานชุดคาร์บอนที่ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด จุดเด่นไฮไลท์ เพลทรันนัมเบอร์ ตัวอักษร MV บนถังน้ำมัน ชุดบนจัดเต็มจาก Brembo ท่อไอเสียสองฝั่งเพิ่มความสปอร์ต BRUTALE 1000 RR OTTANTESIMO เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ผสมผสานดีไซน์ที่หรูหรา และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมไว้ด้วยกัน ถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีของ MV Agusta ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการออกแบบที่โดดเด่นในสไตล์อิตาเลียน ผสานกับเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ที่มีความสปอร์ตและความหรูหรา ใครขี่ก็หล่อ บอกเลย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Royal Enfield Flying Flea C6 ไฟฟ้าคันแรกของค่าย

Royal Enfield Flying Flea C6 ไฟฟ้าคันแรกของค่าย Royal Enfield Flying Flea C6 เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของค่าย โดยรถคันนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Royal Enfield WD/RE ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ในช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง โดยได้เปิดถึง 2 โมเดลได้แก่ C6 ที่มีสไตล์ของความเป็นเรโทร และ S6 ซึ่งเป็นสไตล์สแคมเบอร์ ดีไซน์แบบเดียวกับรถช่วงสงครามโลก การออกแบบมาพร้อมกับสไตล์แบบเรโทร ที่ผสมผสานเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่เข้ากับดีไซน์คลาสสิก รูปลักษณ์โดยรวมชวนให้นึกถึง Yamaha Y125 MOEGI ที่เป็นรถคอนเซ็ปต์ที่เปิดตัวในปี 2011 เฟรมอะลูมิเนียมหล่อของรุ่น C6 ถูกออกแบบให้เป็นเส้นสายคล้ายกับคอนเซ็ปต์ MOEGI แต่แตกต่างตรงที่มีครีบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ในด้านข้าง ระบบช่วงล่าง โช้คอัพด้านหน้าเป็นโช้คอัพแบบ Rubber Band Style Girder Fork (โช้คที่ใช้ยางหรือวัสดุยืดหยุ่นแทนสปริงหรือน้ำมัน) ส่วนโช้คอัพด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวอยู่ใต้เบาะ ในส่วนของระบบเบรกด้านหน้าและด้านหลังเป็นแบบดิสก์เบรกเดี่ยว  แบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งาน ขุมพลังงานในด้านของแบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ Royal Enfield ระบุว่ารถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้จะรองรับการชาร์จเร็วผ่านปลั๊กสามขาแบบใช้ในบ้าน โดยการชาร์จหนึ่งครั้งจะได้ระยะการใช้งานที่เพียงพอสำหรับการขับขี่ในเมือง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับแรงดันไฟฟ้าหรือแอมแปร์ของปลั๊กดังกล่าว เทคโนโลยีการขับขี่มาให้พร้อม   เทคโนโลยีเพิ่มเติมประกอบด้วยระบบเบรก ABS, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, และหน้าจอ TFT แบบสัมผัส Royal Enfield ยังกล่าวอีกว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยตรวจสอบรถของคุณตลอดเวลาเมื่อคุณไม่อยู่ใกล้ เพื่อแจ้งเตือนหากรถถูกก่อกวนหรือเคลื่อนย้าย และมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ของระบบผ่าน OTA (Over the Air) รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อยู่เสมอ และยังมีโหมดการขับขี่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ได้ตามต้องการผ่านการปรับคันเร่ง การเบรก และการจัดสรรพลังงานไฟฟ้าภายในตัวรถ Govindarajan ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ Royal Enfield กล่าวเกี่ยวกับรถในโมเดลนี้ว่า ‘Royal Enfield ได้เริ่มพัฒนาโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในเมืองเจนไน ประเทศอินเดีย และลงทุนใน Stark Future ที่บาร์เซโลนา ซึ่งมีชื่อเสียงด้านรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าออฟโรดที่ล้ำสมัย ทุกองค์ประกอบของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของ Royal Enfield ตั้งแต่กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนทางเทคนิค เช่น มอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และซอฟต์แวร์เฉพาะ ไปจนถึงกลยุทธ์การตลาดและค้าปลีก ล้วนได้รับการพัฒนาโดยทีมเทคนิคและการค้าของบริษัท’ ในส่วนของข้อมูลเบื้องต้นจะมีออกมาแค่ของรุ่น C6 เท่านั้นในส่วนของ S6 จะต้องรอข้อมูลเชิงเทคนิคจากทางค่ายอีกครั้ง และทั้งสองรุ่นย่อยจะพร้อมจำหน่ายในกลางปี 2026 แต่ยังไม่ได้ยืนยันราคาวางจำหน่ายออกมาอย่างเป็นทางการ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก