ในการทดสอบรอบบาเลนเซีย เทสต์เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจไม่ได้มีแค่เรื่องเวลาต่อรอบหรือฟอร์มการแข่งขันของนักบิด แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาเหล่าแฟนคลับก็อาจจะหนีไม่พ้นชิ้นส่วนแอโร่ด้านหลังแบบใหม่ของรถจากค่าย Aprilia บนตัวแข่งอย่าง RS-GP ที่ชวนให้ผู้พบเห็นหลายคนสงสัยว่านี่มันคืออะไรกัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหล่าค่ายผู้ผลิตในการแข่งขันรายการ MotoGP แข่งกันผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรมรถโปรโตไทป์สำหรับใช้ในการแข่งขัน โดยหลาย ๆ ทีมมุ่งเน้นไปที่เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ ที่มีการใช้วิงก์เล็ตด้านหน้าที่กดดาวน์ฟอสต์ ซึ่งผลลัพธ์ในการใช้งานบนเรซการแข่งขันจริงสามารถช่วยได้จริง ทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นมีความแพร่หลายถูกติดตั้งในรถสำหรับวิ่งบนท้องถนนมากขึ้น แต่ทางค่ายอาพริเลียนั้นก้าวล้ำกว่าค่ายอื่น ๆ คือการเดินเกมในส่วนของแฟริ่งด้านท้ายเพิ่มเติมเพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ตัวแข่งอย่าง RS-GP มีกลิ่นอายของความเป็นฟอร์มูล่าวันมากยิ่งขึ้น
อย่างเช่นในการแข่งขัน F1 ปีกหลังนั้นเป็นชิ้นส่วนบังคับที่รถแข่งทุกคันต้องมี อีกทั้งต้องอยู่ครบ และสามารถทำงานได้ตลอดเรซการแข่งขัน ซึ่งหากว่าปีกหลังเสียหายจะถูกสั่งให้ออกจากการแข่งขันทันที ซึ่งแต่ต่างจากการแข่งขันโมโตจีพีที่แฟริ่งด้านหลังเสียหาย แต่ถ้าหากยังสามารถขับขี่ได้ก็สามารถทำการแข่งขันได้ต่อจนจบการแข่งขัน
ซึ่ง Aprilia จะใช้แฟริ่งท้ายใหม่นี้ในการแข่งขันฤดูกาล 2026 หรือไม่นั้นอาจจะยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งปีกหลังใหม่ของค่ายสัญชาติอิตาลีรายนี้รายละเอียดที่สังเกตุได้จะมีแผงปลายปีก (endplates) ขนาดใหญ่ โดยจุดประสงค์หลักคือการสร้างแรงกดดาวน์ฟอสต์เพิ่มในช่วงเข้าโค้งเพื่อให้ล้อหลังนั้นติดพื้นดีขึ้น พร้อมกับช่วยเพิ่มความนิ่งตอนเบรกหนักที่เป็นจุดสำคัญในเรื่องของการทำเวลา
อย่างไรก็ตามทางทีม Aprilia เพิ่งผ่านฤดูกาล 2025 ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแบรนด์ โดยหนึ่งในแข่งทีมโรงงานอย่างมาร์โก เบซเซคคี่นักแข่งหมายเลข 72 สามารถจบได้ในอันดับที่ 3 ของตารางคะแนนชิงแชมป์โลก 353 คะแนน ด้วยการชนะเรซทั้งหมด 3 สนาม และขึ้นโพเดียมได้ทั้งหมด 9 ครั้ง อีกทั้งในตารางคะแนนกลุ่มผู้ผลิตทางค่ายอาพริเลียก็สามารถจบได้ในอันดับที่ 2 สะสมได้ 418 คะแนน
ในการทดลองแอโร่หลังใหม่นี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า RS-GP ยังมีพื้นที่ให้เร็วขึ้นได้อีกถ้าการทดลองปีกหลังใหม่ประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างดาวน์ฟอสต์ และความเสถียรได้ ในอนาคตอาจเห็นสองค่ายจากอิตาลีฟาดฟันกันเองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของการแข่งขันโมโตจีพีก็เป็นไปได้



