SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

ข่าวรถยนต์ รีวิวรถยนต์ รถไฟฟ้า EV รถยนต์เปิดตัวใหม่

ข่าวรถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!

รีวิวรถยนต์

Coming soon…

รถยนต์ไฟฟ้า

No Posts Found!

  • All Posts
  • รถไฟฟ้า
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
LiveWire ONE

LiveWire ONE มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันแรก หลังจากไม่ใช้ชื่อ HD หลังจากที่ Harley-Davidson ได้ทำการยกเครื่องปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ แยกรถไฟฟ้าออกมาเป็นแบรนด์ใหม่ได้ไม่นาน ล่าสุดก็ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันแรกที่หน้าตาคุ้นๆ อย่าง LiveWire One ซึ่งเป็นโมเดลที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมจากโมเดลเก่าซึ่งก่อนหน้านี้ยังใช้ชื่อแบรนด์ HD อยู่นั่นเอง การแยกตัวออกมาของแบรนด์ไลฟ์ไวร์นั้นก็เป็นส่วนนึงของแผนการที่ทางแบรนด์ตั้งเป้าว่าจะเป็นผู้นำในวงการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้านั่นเอง โดยตั้งใจจะทำให้แบรนด์ใหม่นี้เป็นแบรนด์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ  ข่าวดีคือโมเดลใหม่นี้มีราคาปรับลดลงมาเหลือ 21,999 ดอลลาร์ หรือราวๆ 718,000 บาท ซึ่งปรับราคาลดลงมาจากโมเดลก่อนหน้าเยอะมากเลยทีเดียวจนจุดที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งมากขึ้น  และที่น่าดีใจคือ ราคาที่ปรับลดลงมาไม่ได้ทำให้สมรรถนะของรถลดน้อยลงไปด้วย โดยยังคงให้กำลังแรงเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 105 แรงม้า และแรงบิดที่ 86 ฟุตปอนด์เท่าเดิม ตัวมอเตอร์ไฟฟ้านั้นเคลมมาว่าเร่งจาก 0 – 96 กม./ชม.ได้ภายใน 3 วินาที ทำความเร็วสูงได้ที่ 110 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือราวๆ 176 กม./ชม.  ส่วนเรื่องของความจุของแบตเตอรี่ยังคงเดิมที่ 13.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมการันตีว่าจะใช้งานในเมืองได้ราวๆ 230 กม. หรือถ้าผสมผสานระหว่างการใช้งานในเมืองกับขับขี่บนทางหลวงก็จะอยู่ที่ราวๆ 150 กม. ระบบชาร์จเร็วที่ระดับ 3 ก็ช่วยให้ชาร์จได้ภายใน 1 ชั่วโมง หรือ 0 – 80% ได้ภายใน 40 นาที   ในส่วนของระบบกันสะเทือนด้านหน้าจะเป็นโช้คหัวกลับ Showa Big Piston ส่วนด้านหลังจะเป็นโช้คเดี่ยว Showa balance-free ส่วยระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกหน้าคู่และคาลิเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ Brembo 4 พ็อต ด้านหลังจะเป็นดิสก์เดี่ยวกับคาลิเปอร์เบรก Brembo 2 พ็อต ส่วนล้อจะเป็นล้ออลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปแบบ 5 ก้านแยกขนาด 17 นิ้วทั้งด้านหน้าและด้านหลังครับ  ส่วนข่าวร้ายสำหรับเจ้า LiveWire ONE ก็คือไม่มีสีส้มให้เลือกแล้ว ก็จะเหลือเพียงสีขาวและสีดำเท่านั้น ไม่มีสีสันสดๆ ให้ได้เลือกต่อไป สรุปโดยรวมแล้วราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้นครับ แต่ยังถือว่าราคาค่อนข้างแรก อาจจะไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านเราครับ แต่ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีในอนาคตครับที่เราจะได้สัมผัสรถไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอนครับ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

BMW-CE-04-2021

BMW CE 04 เปิดตัวแล้วในฐานะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันล่าสุดของค่าย   สำหรับเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันนี้ เริ่มต้นด้วยการเป็นคอนเซ็ปต์สกู๊ตเตอร์ในปี 2017 และในปี 2020 ก็เผยโฉมอีกครั้งในฐานะโมเดลที่ใกล้เคียงกับการผลิตจริง จนกระทั่งล่าสุดในวันที่ 7 เดือน 7 หรือเดือนกรกฎาคมนี้เอง เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่มีดีไซน์ล้ำยุคพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยสมกับเป็นรถจากค่ายใบพัดสีฟ้า  ตัว BMW CE 04 ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดมากถึง 31 กิโลวัตต์ หรือ 42 แรงม้า วางบนแชสซีน้ำหนักเบาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอีกด้วย โดยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นจะวางอยู่ในเฟรมอยู่ระหว่างแบตเตอรี่และล้อหลัง ในลักษณะคล้ายกับรถยนต์ของทางค่าย นอกจากนี้เคลมว่าสามารถทำความเร็วจาก 0 – 50 กม./ชม.ใน 2.6 วินาทีเท่านั้น (มีเวอร์ชันสำหรับใบขับขี่แบบ A1 ที่จะลดกำลังลงเหลือ 23 กิโลวัตต์หรือ 31 แรงม้าด้วย)  และยังเคลมท็อปสปีดมาที่ 120 กม./ชม. เพื่อให้ใช้งานนอกเมือง หรือบนมอเตอร์เวย์ได้อีกด้วย เรียกว่าไม่ใช่รถใช้งานในเมืองอย่างเดียวนั่นเอง    ตัวรถมีแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 60.6 แอมแปร์ชั่วโมงหรือ 8.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทำการได้ที่ราวๆ 130 กม. (รุ่นลดกำลังใช้งานได้ 100 กม.) ช่วยให้ขับขี่ใช้งานในทุกๆ วันในเมือง หรือในชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระ หรือจะใช้เดินทางในช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่ไกลมากก็พอไหว  แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ให้มามีระบบชาร์จในตัวสามารถใช้ชาร์จกับปลั๊กไฟบ้าน ชุดชาร์จแบบวอลล์บ็อกซ์ หรือสถานีชาร์จสาธารณะได้เลย โดยใช้เวลาชาร์จจาก 0 ถึง 100 % ใช้เพียง 4 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้น และสำหรับชุดชาร์จเร็วที่ต้องซื้อเพิ่มนั้นสามารถรับกระแสไฟได้มากถึง 6.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง มากกว่าปกติ 3 เท่า (ชุดสายชาร์ตปกติที่มากับรถอยู่ที่ 2.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ทำให้ชาร์จจนเต็มได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 40 นาทีเท่านั้น  หากชาร์จด้วยชุดชาร์จเร็ว โดยเริ่มที่ระดับ 20% ไปจนถึง 80% นั้นจะใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับท้องที่และจุดจ่ายไฟด้วย  หากชาร์จกับชุดชาร์จวอลล์บ็อกซ์ที่บ้านหรือตามสถานีชาร์จ หากต้องการใช้ระบบชาร์จเร็วจะต้องใช้สาย A Mode 3 เพิ่มเติม เหมือนกับรถยนต์ของทางค่าย   ในส่วนของช่วงล่างนั้น ด้านหน้าจะมีโช้คเทเลสโคปิกพร้อมขนาดแกน 35 มม. ด้านหลังเป็นสวิงอาร์มเดี่ยวและโช้คเดี่ยวที่สามารถปรับแดมปิ้งได้ โดยขนาดล้อจะเป็น 15 นิ้วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยใช้ยาง Pirelli Rosso Scooter มีขนาดยางดังนี้ 120/70 R15 67H และ 160/60 R15 56H ตามลำดับ  ส่วนระบบเบรกค่อนข้างจัดเต็ม ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ และด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวพร้อมระบบเบรก ABS หรือจะเลือก ABS Pro แบบใช้งานในโค้งได้โดยต้องจ่ายเงินเพิ่ม เรียกว่าปลอดภัยขั้นสุด  ทีเด่นสุดๆ เห็นจะเป็นหน้าจอแสดงผลสี TFT ขนาด 10.25 นิ้ว แสดงผลข้อมูลได้ครบถ้วน พร้อมระบบนำทางในตัว เรียกว่าใหญ่ที่สุดในวงการมอเตอร์ไซค์เลยล่ะครับ นอกจากนี้ระบบไฟส่องสว่างก็เป็น LED เต็มระบบ และสามารถติดตั้งระบบ Adaptive Headlight Pro และระบบไฟพิเศษ (ระบบไฟพิเศษคือไฟ Welcome Light และ Good bye light) เพิ่มเติมได้  ในส่วนของระบบความปลอดภัยตัวรถจะมีระบบควบคุมเสถียนภาพอัตโนมัติ หรือ Automatic Stability Control มาควบคุมแรงบิดที่จะทำให้ล้อหลังเกิดการสลิปอีกด้วย หรือจะติดตั้งระบบไดนามิกแทร็คชันคอนโทรลเพิ่มก็ต้องเสียเงินเพิ่มเอาก็ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในอีกระดับ    ตัวรถยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมดให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เช่น โหมด Eco โหมด Rain และ โหมด Road หรือจะเสียเงินเพิ่มเพื่อใช้งานโหมด Dynamic ที่จะปรับให้การขับขี่ได้ลื่นไหล เร่งแรงได้มากขึ้นก็ทำได้ สำหรับฟังก์ชันอำนวยความสะดวกอย่างช่องเก็บของตามแบบที่สกู๊ตเตอร์ควรจะมีนั้นมีทั้งด้านหน้าและใต้เบาะ ไม่สิ ด้านข้างมากกว่า ซึ่งสามารถเก็บหมวกกันน็อกโอเพ่นเฟซได้ 1 ใบ มีช่องจ่ายไฟด้านหน้า  สุดท้ายนี้ตัวจะจำหน่ายในชุดสีขาว Light White แต่งแต้มให้ลงตัวด้วยสีดำด้านหน้าที่ด้านหน้า

SEAT MÓ eScooter 125

SEAT MÓ eScooter 125 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสุดล้ำจากสเปน และนี่คือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันแรกจากทางค่ายรถสัญชาติสเปน SEAT MÓ eScooter 125 ที่มีฟังก์ชันล้ำๆ ในแบบที่ค่ายอื่นไม่มี อาทิ เกียร์ถอยหลัง และระบบแชร์คีย์โค้ดให้กับคนอื่นเพื่อไปปลดล็อคและขับขี่ใช้งานได้ ตัวรถมีดีไซน์โมเดิร์นและกะทัดรัด แต่กระนั้นก็ใส่ใจและใช้งานได้จริง ช่องเก็บของใต้เบาะมีขนาดใหญ่ใส่หมวกกันน็อกได้ถึง 2 ใบ มีมือจับคนซ้อน ทั้งยังมีขาตั้งคู่ให้ด้วย โดยตัวรถน้ำหนักเบาเพียง 152 กก.เท่านั้น         เจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันนี้มีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 7 กิโลวัตต์ที่สามารถรีดกำลังสูงสุดได้ถึง 9 กิโลวัตต์ เทียบเท่ากับรถสกู๊ตเตอร์ขนาด 125 ซีซี แต่ทว่าให้แรงบิดสูงถึง 240 นิวตันเมตร ทางค่ายยังเคลมมาว่าทำความเร็วสูงสุด 95 กม./ชม. สามารถเร่ง 0 – 50 กม./ชม.ได้ใน 3.9 วินาที เทียบเท่ากับสกู๊ตเตอร์พิกัด 300 ซีซีเลยทีเดียว  ตัวรถมีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 โหมด ได้แก่ Eco, City และ Sport เพื่อการใช้งานที่หลากหลายตอบโจทย์มากขึ้น ขณะที่แบตเตอรี่จะเป็นลิเธียมไอออนความจุสูงให้กำลังไฟ 5.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยน้ำหนักตัวแบตเตอรี่หนักมากกว่า 40 กิโลกรัมเล็กน้อย อาจจะดูหนัก แต่ก็ช่วยให้วิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 137 กม.ในการชาร์จเพียงครั้งเดียว และสามารถถอดเข็นไปชาร์จไฟได้สะดวก สามารถใช้ไฟบ้านชาร์จได้เลย โดยการชาร์จจนเต็มระบบจะกินเวลา 6 – 8 ชั่วโมง ระบบเบรกใช้ดิสก์เบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมระบบเบรกแบบคอมบายเบรก เพื่อช่วยกระจายแรงเบรก ให้ระยะเบรกสั้นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้านหน้าเป็นโช้คเทเลสโคปิกและโช้คหลังเดี่ยวเพื่อความนุ่มนวลในการขับขี่   ตัวรถยังมีหน้าปัดเรือนไมล์แบบดิจิทัลแสดงข้อมูลที่สำคัญครบถ้วน พร้อมเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอพลิเคชันเฉพาะเพื่อดูข้อมูลต่างๆ ได้อีักด้วย  สุดท้ายนี้ตัวรถจะมีจำหน่าย 3 สีด้วยกันได้แก่ สีแดง สีดำเทา และสีขาว จำหน่ายในราคา 4,150 ยูโรหรือราวๆ 160,000 บาท ซึ่งก็ถือว่าราคาไม่แพงเลยหากเทียบกับฟังก์ชันที่มีให้นะครับ แต่ก็อาจจะแพงขึ้นหากเข้ามาจำหน่ายในไทย และอาจจะไม่ถูกใจชาวไทยเพราะระยะทำการอาจจะน้อยไปหน่อยครับ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะครับ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก  

ราคาและสเปครถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!