SuperBikeMag.Com ข่าวมอเตอร์ไซค์ รีวิวมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์

ข่าวรถยนต์ รีวิวรถยนต์ รถไฟฟ้า EV รถยนต์เปิดตัวใหม่

ข่าวรถยนต์

  • All Posts
  • ข่าวรถยนต์
สรุปดราม่า JAECOO OMODA สร้างกระแสฟีเวอร์ หรือสะท้อนปัญหาส่งมอบ

เจาะลึกความเชื่อมั่น JAECOO & OMODA หลังให้ลูกค้ารับรถเองที่ท่าเรือแหลมฉบัง สะท้อนปัญหาโลจิสติกส์ มาตรฐาน PDI และความไม่พร้อมของศูนย์บริการ

  • All Posts
  • ข่าวรถยนต์

รีวิวรถยนต์

Coming soon…

รถยนต์ไฟฟ้า

  • All Posts
  • รถไฟฟ้า
Retrokit for Vespa มอเตอร์ไฟฟ้าของเวสปิสตี้ที่เบื่อน้ำมัน

Retrokit for Vespa มอเตอร์ไฟฟ้าของเวสปิสตี้ที่เบื่อน้ำมัน Retrokit for Vespa ขุมพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถจักรยานยนต์เวสป้า ด้วยเทรนด์ในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าในชั่วโมงนี้ คงหนีไม่พ้นไลฟ์สไตล์ ‘แบบรักษ์โลก’ ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น วงการรถสองล้อเองก็มีสกูตเตอร์ไฟฟ้าออกมาให้ได้ใช้งานกัน สำหรับไบค์เกอร์บางท่านที่อยากร่วมรักษ์โลกแต่ไม่มีเงินซื้อให้จะทำยังไงดี ? เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสำหรับเหล่า ‘เวสปิสตี้’ ที่มีใจจะรักษ์โลก เพราะ Retrokit บริษัทจากอิตาลี เปิดตัวชุดแปลงไฟฟ้าแบบครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ขับขี่โบกมือลาน้ำมันเบนซิน และหันมาใช้ไฟฟ้าล้วน ๆ สำหรับเวสป้าคลาสสิกของคุณได้ในเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น   โดยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าของ Retrokit จะประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชุดควบคุม ที่สามารถติดตั้งเข้ากับรถเวสป้าได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการดัดแปลงตัวรถมากนัก และเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ชาร์จไฟให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้เวสป้าที่เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ทันที ชุดนี้ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหลังขนาด 7,000 วัตต์และแบตเตอรี่ลิเธียมแบบถอดได้ขนาด 2.35 kW.h ซึ่งเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์เชื้อเพลิงเดิม โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเฟรมแต่อย่างใด พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับการให้ “หัวใจ” ใหม่แก่เวสป้า แต่ยังคงระบบล้อหลัง และเบรกแบบเดิมเอาไว้ เพื่อให้ประสบการณ์การขับขี่ไม่เปลี่ยนแปลงไป  อีกทั้งชุด Retrokit ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ระบบไฟ LED, ระบบควบคุมคันเร่ง, ตัวควบคุมอัจฉริยะ ทำให้การปรับแต่งนี้ไม่ใช่แค่การ “ปรับเปลี่ยนรูปแบบของระบบกำลัง” เท่านั้น แต่ยังเป็นการอัปเกรดประสบการณ์การขับขี่อีกด้วย ระยะเวลาการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่นี้ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงเท่านั้น มอเตอร์ไฟฟ้าของ Retokit มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 50 ซีซี และขนาด 125 ซีซี โดยเวอร์ชันขนาด 50 ซีซี จำกัดความเร็วอยู่ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหมาะสำหรับการเดินทางในเมือง และใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปใกล้ ๆ บ้าน ในส่วนของเวอร์ชันขนาด 125 ซีซี สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วสูงมอเตอร์ทั้งสองรุ่นสามารถสร้างแรงบิดได้ 28 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่มือใหม่ และมือเก๋าสามารถควบคุมได้ง่ายระบบประหยัดพลังงานอัจฉริยะ วิ่งได้ไกลถึง 82 กิโลเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าของ Retrokit มีโหมดขับขี่ในตัว 3 โหมด ได้แก่ Eco, Drive และ Sport โหมด Eco มีระยะทางวิ่งไกลที่สุด โดยสามารถเดินทางได้ 82 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบกู้คืนพลังงานจลน์ ที่สามารถชาร์จพลังงานเมื่อลงเขาหรือเบรก ช่วยเพิ่มความทนทาน และทำให้เวสป้าประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอเรือนไมล์แบบใหม่ ที่รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้การเช็คข้อมูลต่าง ๆ อาทิ ความเร็วของรถ ระดับแบตเตอรี่ อายุแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ และแม้แต่เปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ทันที ก็สามารถทำได้เพียงแค่ปลายนิ้วเท่านั้น และรูปแบบของหน้าจอเรือนไมล์ยังมีตัวเลือกจอแสดงผลแบบดิจิทัลถึง 3 แบบ ได้แก่ ทรงกลม, วงรี และสี่เหลี่ยม ที่สามารถทดแทนแผงหน้าปัดเดิมของรถ Vespa รุ่นต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ  ในส่วนขอราคาวางจำหน่าย และการจัดส่งระหว่างประเทศชุด Retrokit มีราคาอยู่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 119,000 บาท ไหนใครเบื่อน้ำมัน ลองเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าดูหน่อยไหม อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 LiveWire Alpinista ครุยเซอร์ เสียบปลั๊ก

2025 LiveWire Alpinista ครุยเซอร์ เสียบปลั๊ก 2025 LiveWire Alpinista รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากค่าย LiveWire แบรนด์ในเครือของค่าย Harley-Davidson โดยในโมเดลใหม่ของทางค่ายนี้มีการออกแบบดีไซน์ผสมผสานระหว่าง ความสวยงาม และประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน ขุมพลัง และสมถรรนะ S2 Alpinista ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 64.6 กิโลวัตต์ พละกำลังเทียบเท่าประมาณ 84 แรงม้ามาพร้อมแรงบิด 263 นิวตันเมตร แรงบิดที่มากมายมหาศาลขนาดนี้เป็นเรื่องธรรมดาของรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 10.5 kWh สามารถทำความเร็วจาก 0-100 โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 159 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยระยะทางสูดสุดในเมืองต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอยู่ที่ 120 ไมล์หรือ 193 กิโลเมตร ในส่วนของระยะเวลาการใช้ชาร์จนั้น หากชาร์จด้วยการชาร์จระดับที่ 1 (110V) จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จจาก 0-100% ที่ 9.1 ชั่วโมง และใช้เวลา 5.9 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-80% และถ้าหากผู้ขับขี่ใช้เครื่องชาร์จระดับที่ 2 ที่มีการการจ่ายกำลังไฟสูงขึ้น (220V) จะใช้เวลาในการชาร์จเร็วขึ้น ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง 22 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-100% และ 1 ชั่วโมง 18 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 20-80% ช่วงล่างจาก Showa ระบบกันสะเทือนล่างด้านหน้าเป็นโช้คอัพจากทาง Showa แบบเทเลสโคปิก ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับค่าได้อย่างเต็มรูปแบบ ด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวจากทาง Showa เช่นเดียวกัน ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับพรีโหลด และรีบาวด์ได้ ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรกเดี่ยวมาพร้อมคาลิเปอร์เบรก BREMBO® M4.32 แบบสี่ลูกสูบ ด้านหลังเป็นคาลิเปอร์เบรกจาก Brembo แบบลูกสูบเดี่ยว มาพร้อมระบบความปลอดภัย ABS ที่แยกอิสระทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ระบบ Traction Control ในส่วนของล้อเป็นล้อแบบอลูมิเนียม ขอบ 17 ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ เมื่อไหร่ที่เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็หมดกังวลในเรื่องของเทคโนโลยีที่มอบให้ เพราะครุยเซอร์เสียบปลั๊กคันนี้มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานแบบจัดเต็ม เริ่มที่ระบบไฟแบบ LED รอบคัน เรือนไมล์ตรงกลางมาพร้อมหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 4 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รวมถึงการดูรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถผ่านหน้าจอ อาทิ ปริมาณคงเหลือของแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ รวมไปถึงระบบนำทาง และมีช่องสำหรับชาร์จไฟแบบ USB-Type C จุดอื่น ๆ ของตัวรถ สีสันที่วางจำหน่าย Glacier Silver (สีเงิน) Asphalt Black (สีดำ) และราคาวางจำหน่ายของเจ้าคันนี้มีราคาอยู่ที่ 17,390 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยอยู่ที่ 734,500 บาท (ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในเรื่องของการจำหน่ายในประเทศไทย อาจจะเป็นไปได้ยากหน่อย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

  • All Posts
  • รถไฟฟ้า
2025 Can-Am Pulse เน็กเก็ดไบค์ไฟฟ้ารุ่นแรก พร้อมให้จองแล้ว

2025 Can-Am Pulse เน็กเก็ดไบค์ไฟฟ้ารุ่นแรก พร้อมให้จองแล้ว เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของวิวัฒนาการในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะในตลาดสองล้อที่ทางผู้ผลิตหลาย ๆ ค่าย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหามลพิษทางอากาศและปรับตัวให้เป็นไปตามยุคสมัย และเพื่อการลดก๊าซคาร์บอนจากควันไอเสียในเครื่องยนต์สันดาปปรับมาใช้พลังงานทางเลือกใหม่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งทศวรรษที่ผ่านมานี้ ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ อาจได้เห็นผลิตภัณฑ์สองล้อพลังงานไฟฟ้าจากหลากแบรนด์หลายค่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์นั้นก็ถูกพัฒนาปรับไปตามยุคสมัยเช่นเดียวกัน  อย่างล่าสุดกับผู้นำด้านรถ ATV สัญชาติแคนาดาอย่าง Can-Am ได้ทำการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่อย่าง Can-Am Pulse 2025 และ Can-Am Origin พร้อมให้สั่งจองออนไลน์ล่วงหน้าแล้ว หนึ่งในโฉม 2 รุ่นที่อยากกล่าวถึงเป็นอันดับแรกก็คือเจ้า Can-Am Pluse โรดสเตอร์ไบค์ที่มาพร้อมกับความล้ำสมัย และให้ความแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ กับดีไซน์ในลักษณะสไตล์รถเน็กเก็ดไบค์ สวมไฟหน้า LED บิวอินต์ไปที่หน้ากรอบด้านหน้า พร้อมออกแบบตัวถังปาดเหลี่ยมมุมพร้อมโลโก้แบรนด์ ดูมีเอกลักษณ์ และวาดองศาจากตัวถังผ่านเบาะโดยสารไปจนถึงด้านท้ายให้ดูมีระดับเป็นระนาบเดียวกัน และยังเสริมลักษณะการขับขี่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยแฮนด์ทรงยกสูง กระจกข้างบริเวณปลายแฮนด์ ที่ให้มิติการขับขี่ที่ดูสะดวก และเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันอีกด้วย  ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Rotax E-Power พร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Rotax E-Power ส่งกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว โดยให้พละกำลังสูงสุด 47 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 72 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบ สามารถทำท็อปสปีดราว ๆ เกือบ 130 กม./ชม และยังเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 ม.ที่ 3.8 วินาที โดยใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 8.9 kWH สามารถวิ่งได้ถึง 160 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งยังรองรับการชาร์จแบบ 2 ระดับ โดยใช้เวลาเพียง 1 ชม. 30 นาที สำหรับการชาร์จระดับ 2 (เครื่องชาร์จออนบอร์ด) และ 5 ชม. 15 นาที สำหรับการชาร์จระดับ 1 (ชาร์จในบ้านหรือที่พักอาศัย)  หน้าจอสี TFT Display ขนาดใหญ่ พ่วงมาพร้อมระบบการขับขี่ Riding Mode ถึง 4 โหมดได้แก่ (Normal, ECO, Rain, and Sport+) ให้ผู้ขับขี่ปรับได้ตามสถานการณ์การใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม และยังเสริมความปลอดภัยในขณะขับขี่ด้วยระบบแทร็กชันคอนโทรล ระบบแอนตี้ล็อกเบรกกิ้งหรือ ABS ติดมาไว้ในรุ่นนี้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังติดตั้งจอทัสกรีนขนาด 10.25 นิ้วสามารถเชื่อมต่อข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน Apple CarPlay และ BRP Connect สามารถฟังเพลงและรับสายโทรศัพท์รวมถึงฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมาย  ทั้งยังอัดแน่นด้วยระบบช่วงล่างกับโช้คหน้าหัวกลับ KYB ขนาด 41 มม. พร้อมระยะยุบ 140 มม. ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวจาก Sachs ระยะยุบ 140 มม. ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยว สามารถปรับพรีโหลดได้ ส่วนเรื่องระบบเบรกใช้เป็นจานดิสก์ขนาด 320 มม. และ 240 มม.ใช้คาลิเปอร์เบรก J.Juan ทั้งหน้า-หลัง โดยด้านหน้าเป็น 2 ลูกสูบ ด้านหลังลูกสูบเดียว สวมล้อและยางมาขนาดที่ 110/70 R17 และ 150/90 R17 ตามลำดับ โดยมีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 177 กก. เปิดให้พรีออเดอร์แล้ว โดยสีที่เปิดราคาพรีออเดอร์มี 2 สีด้วยกันได้แก่ สีขาวและสีเทา/ดำ ขายราคาอยู่ที่ 13,999 ดอลล่าร์หรือราวๆ 3.5 แสนบาท และรุ่นแต่งกับ Pulse ‘73 กับสีที่จำหน่ายได้แก่ สีเทา โดยเปิดราคาพรีออเดอร์อที่ 15,999 ดอลล่าร์ หรือราว ๆ 4 แสนบาท นับว่าเป็นโมเดลที่ล้ำสมัยและเหมาะกับไบค์เกอร์ยุคใหม่ ๆ ที่จะมีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซักคันไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย  อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ

FM Factory Torque 1/1 น้องเหล่ ไฟคม สุดท้วมจากอิตาลี

FM Factory Torque 1/1 น้องเหล่ ไฟคม สุดท้วมจากอิตาลี หากแว๊บแรงเพียงละม้าย ชายตา ที่มองผ่าน นี่คงเป็นโฉมโมเดลที่สุดจะแปลกและมันดูล้ำพิเศษกว่าโมเดลไหน ๆ จะเรียกว่าเรโทรไบค์คลาสสิคเท่ ๆ ก็ไม่กล้าพูดซะเต็มคำเพราะว่าตาเหล่ซะเหลือเกิน แอดมินหมายถึงรถนะ (บลูลี่รถแหล่ะ) รวมถึงรูปทรงแฟริ่งชิ้นใหญ่จนปิดคลุมทั้งหมดกระทั่งแอบคิดในใจว่าไหนหล่ะ เครื่องยนต์ของมัน…อ้ออ รถไฟฟ้านี่เอง  ถ้าใครที่ไม่เคยเห็นข่าวนี้ในเว็บ SuperBike ก็อาจคิดว่ามันคงเป็นโมเดลใหม่ที่พึ่งคลอดเหมือนอย่างที่แอดมินกำลังครุ่นคิด แต่พอลองไปเซิร์ดอากู๋แล้ว เอ๋า..มันเปิดตัวตั้งแต่งาน EICMA 2022 ไปแล้วนี่หว่า ชั้นไปอยู่ในมานี่..นี่มัน DC100 เน็กเก็ดซูเปอร์ไบค์พลังงานไฟฟ้า ผลงานการออกแบบและผลิตขายจริงโดยสตาร์ทอัพจากสัญชาติจีนอย่าง Davinci Motor แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ เพราะทั้งชุดสีและลวดลายไม่เหมือนกันซักนิดด.. แถมยังปักธงอิตาลีบริเวณตูดท้าย จนกระทั่งมาทราบทีหลังว่า อ๋อ..นี่คือ FM Factory Torque 1/1 คอนเซ็ปต์โมเดลใหม่จากทาง FM Factory นั่นเอง DC100 (2022) Torque  1/1 (2024) คราวนี้ก็ต้องขอเกริ่นที่มาของ FM Factory ก็คือบริษัทที่คิดค้น วิจัยและพัฒนา โซลูชัน เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงงานออกแบบฝีมือโดยชาวอิตาเลี่ยน ซึ่งบริษัทดังกล่าวพึ่งถูกเปิดตัวไปหมาด ๆ มาพร้อมกับโฉมคอนเซ็ปต์ไบค์คันแรกซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ Filante และ Davinci (ผู้ออกแบบเจ้า DC100) ถ้าหากดูแล้ว 2 รุ่นนี้มีอะไรหลายจุดที่คล้ายคลึงกันอาทิ มิติรูปทรง มอเตอร์ศูนย์กลางที่อยู่ตรงบริเวณล้อหลัง ไฟหน้าและแฮนด์เป็นต้นแต่ความแตกต่างก็ยังมีให้สังเกตุในหลาย ๆ จุด กับรูปทรงแฟริ่งที่มีความหรูหรารวมถึงดีเทลละเอียดในแบบรถอิตาลี โลโก้ด้านข้าง เบาะคนซ้อนที่ติดตั้งมาให้ ซับเฟรมและบังโคลนหลังรวมถึงระบบช่วงล่าง Francesco Maria Farina ผู้ก่อตั้ง FM Factory กล่าวว่า “TORQUE ถูกออกแบบมาสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบสะสมผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ละด้านได้รับการพิจารณาอย่างพิถีพิถันและผลิตอย่างพิถีพิถัน โดยใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่หรูหรา” ขณะเดียวกันในด้านสมรรถนะที่เคลมมาให้ กับแรงบิดสูงสุดที่ 850 นิวตันเมตร และท็อปสปีดในระยะ 0-100 เมตร เคลมมาที่ 2.9 วินาที รวมทั้ง Fast-Charge เพียง 20 นาที ต่อการขับขี่ในระยะทาง 400 กม.ส่วนข้อมูลสเปคอื่น ๆ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด ต้องมารอชมภายในงาน EICMA 2024 จัดขึ้นวันที่ 7 พ.ย.67 นี้และสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป โดยเปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 101,000 ยูโร หรือ 3.87 ล้านบาท หื้มมไม่คนากระเป๋าตังเท่าไหร่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

XAM Off-road 2024 ออฟโร้ดไฟฟ้ารุ่นแรก เผยโฉมแล้ว

XAM Off-road 2024 ออฟโร้ดไฟฟ้ารุ่นแรก เผยโฉมแล้ว!! อัปเดตข่าวสารสุดสัปดาห์ ด้วยค่ายรถจากทางฝั่งอิตาลีอย่าง Malaguti เตรียมเซอร์ไพร์สด้วย XAM Off-road 2024 (Off-Road Only) รถทางฝุ่นพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก..!! กับนวัตกรรมใหม่ด้วยแนวคิดผสมผสานระหว่างรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานเข้าด้วยกัน สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อส่งมอบประสบการณ์ขับขี่บนทางออฟโร้ดได้อย่างเต็มพิกัด  กำลังสูงสุด 15 แรงม้า และแรงบิดมากสุด 58 นิวตันเมตร โดยเจ้า Xam รุ่นนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ซิงโคนัส ชนิดแม่เหล็กถาวร มีคุณสมบัติให้อัตราเร่งได้ดีและแม่นยำ พร้อมพัดลมระบายความร้อนเสริมเสถียรภาพการทำงานของชุดมอเตอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งให้กำลังที่ 6.7 แรงม้าที่ 2,500 รอบ และกำลังสูงสุดที่รีดออกมาได้มากถึง 15 แรงม้าที่ 1,780 รอบ ขณะเดียวกันแรงบิดให้มาที่ 21 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบ และแม็กซิมั่มที่สามารถเค้นได้มากถึง 58 นิวตันเมตร พร้อมเคลมท็อปสปีดมาให้ที่ 80 กม./ชม. เพื่อประสบการณ์การขับขี่ในทางที่ยากลำบากนั่นเอง ชาร์จแบตไม่เกิน 3 ชม./รอบการใช้งาน ขณะที่กำลังแรงดันของแบตเตอรี่ให้มาที่ 74V มีปริมาณ 2.59 kWH สามารถวิ่งได้ 1-2 ชม. ต่อการขับขี่บนเส้นทางออฟโร้ดในแต่ละครั้ง รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จแบตต่อครั้งที่ 2-3 ชม. ซึ่งเหมาะสำหรับพักเบรกของผู้ขับขี่ในระหว่างเดินทางอีกด้วย  โหมดขับขี่ 4 โหมด นอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยโหมดรอบการขับขี่ถึง 4 โหมด สามารถปรับได้ตามเส้นทางและสถานการณ์ ส่วนระบบช่วงล่างกับดิสก์เบรกขนาด 200 มม. พร้อมปั๊มเบรก 4 พอท พร้อมด้วยโช้คแบบหัวกลับ มีระยะยุบ 200 มม. ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม พร้อมระยะยุบ 185 มม. รวมถึงดิสก์เบรกด้านหลังและปั๊มเบรกให้มาเช่นเดียวกัน ส่วนล้อและยางให้มาที่ 70/100-19 และ 90/100-18 โดยโมเดลดังกล่าว เปิดให้จองออนไลน์ผ่านช่องทางออฟฟิเชียล สำหรับใครที่สนใจอยากมีไว้ขี่ลุยสนามหลังบ้านก็ลองดูได้เลย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

ราคาและสเปครถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!