
เจาะลึกความเชื่อมั่น JAECOO & OMODA หลังให้ลูกค้ารับรถเองที่ท่าเรือแหลมฉบัง สะท้อนปัญหาโลจิสติกส์ มาตรฐาน PDI และความไม่พร้อมของศูนย์บริการ
SuperBikeMag.Com ข่าวมอเตอร์ไซค์ รีวิวมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์

เจาะลึกความเชื่อมั่น JAECOO & OMODA หลังให้ลูกค้ารับรถเองที่ท่าเรือแหลมฉบัง สะท้อนปัญหาโลจิสติกส์ มาตรฐาน PDI และความไม่พร้อมของศูนย์บริการ

ทำไม Toyota Vios เห็บหมา ถึงยังเป็นที่นิยมในปี 2568? เจาะลึกข้อดี-ข้อเสีย อัตราสิ้นเปลือง และเทคนิคการเลือกซื้อรถมือสองสภาพดี ในงบแสนต้นๆ

BYD แชร์ที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน เจาะลึกบริการใหม่จาก BYD, Nio และ Xpeng ช่วยลดค่าใช้จ่าย สร้างรายได้เสริม และแก้ปัญหาจุดชาร์จไม่พอในชุมชน

ปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยกับงาน Motor Expo 2025 ยอดจองสูงที่สุดอันดับที่ 1 ครองแชมป์โดยโตโยต้าที่กวาดใบจองได้กว่าหมื่นคัน
Coming soon…

Retrokit for Vespa มอเตอร์ไฟฟ้าของเวสปิสตี้ที่เบื่อน้ำมัน Retrokit for Vespa ขุมพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถจักรยานยนต์เวสป้า ด้วยเทรนด์ในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าในชั่วโมงนี้ คงหนีไม่พ้นไลฟ์สไตล์ ‘แบบรักษ์โลก’ ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น วงการรถสองล้อเองก็มีสกูตเตอร์ไฟฟ้าออกมาให้ได้ใช้งานกัน สำหรับไบค์เกอร์บางท่านที่อยากร่วมรักษ์โลกแต่ไม่มีเงินซื้อให้จะทำยังไงดี ? เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสำหรับเหล่า ‘เวสปิสตี้’ ที่มีใจจะรักษ์โลก เพราะ Retrokit บริษัทจากอิตาลี เปิดตัวชุดแปลงไฟฟ้าแบบครบวงจรที่ช่วยให้ผู้ขับขี่โบกมือลาน้ำมันเบนซิน และหันมาใช้ไฟฟ้าล้วน ๆ สำหรับเวสป้าคลาสสิกของคุณได้ในเวลาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น โดยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าของ Retrokit จะประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชุดควบคุม ที่สามารถติดตั้งเข้ากับรถเวสป้าได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการดัดแปลงตัวรถมากนัก และเมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ชาร์จไฟให้เรียบร้อย ก็สามารถใช้เวสป้าที่เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ทันที ชุดนี้ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้อหลังขนาด 7,000 วัตต์และแบตเตอรี่ลิเธียมแบบถอดได้ขนาด 2.35 kW.h ซึ่งเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์เชื้อเพลิงเดิม โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเฟรมแต่อย่างใด พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับการให้ “หัวใจ” ใหม่แก่เวสป้า แต่ยังคงระบบล้อหลัง และเบรกแบบเดิมเอาไว้ เพื่อให้ประสบการณ์การขับขี่ไม่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งชุด Retrokit ยังมาพร้อมอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ระบบไฟ LED, ระบบควบคุมคันเร่ง, ตัวควบคุมอัจฉริยะ ทำให้การปรับแต่งนี้ไม่ใช่แค่การ “ปรับเปลี่ยนรูปแบบของระบบกำลัง” เท่านั้น แต่ยังเป็นการอัปเกรดประสบการณ์การขับขี่อีกด้วย ระยะเวลาการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่นี้ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงเท่านั้น มอเตอร์ไฟฟ้าของ Retokit มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 50 ซีซี และขนาด 125 ซีซี โดยเวอร์ชันขนาด 50 ซีซี จำกัดความเร็วอยู่ที่ 45 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหมาะสำหรับการเดินทางในเมือง และใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปใกล้ ๆ บ้าน ในส่วนของเวอร์ชันขนาด 125 ซีซี สามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ความเร็วสูงมอเตอร์ทั้งสองรุ่นสามารถสร้างแรงบิดได้ 28 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่มือใหม่ และมือเก๋าสามารถควบคุมได้ง่ายระบบประหยัดพลังงานอัจฉริยะ วิ่งได้ไกลถึง 82 กิโลเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าของ Retrokit มีโหมดขับขี่ในตัว 3 โหมด ได้แก่ Eco, Drive และ Sport โหมด Eco มีระยะทางวิ่งไกลที่สุด โดยสามารถเดินทางได้ 82 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบกู้คืนพลังงานจลน์ ที่สามารถชาร์จพลังงานเมื่อลงเขาหรือเบรก ช่วยเพิ่มความทนทาน และทำให้เวสป้าประหยัดพลังงานมากขึ้น อีกทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอเรือนไมล์แบบใหม่ ที่รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้การเช็คข้อมูลต่าง ๆ อาทิ ความเร็วของรถ ระดับแบตเตอรี่ อายุแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ และแม้แต่เปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้ทันที ก็สามารถทำได้เพียงแค่ปลายนิ้วเท่านั้น และรูปแบบของหน้าจอเรือนไมล์ยังมีตัวเลือกจอแสดงผลแบบดิจิทัลถึง 3 แบบ ได้แก่ ทรงกลม, วงรี และสี่เหลี่ยม ที่สามารถทดแทนแผงหน้าปัดเดิมของรถ Vespa รุ่นต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในส่วนขอราคาวางจำหน่าย และการจัดส่งระหว่างประเทศชุด Retrokit มีราคาอยู่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 119,000 บาท ไหนใครเบื่อน้ำมัน ลองเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าดูหน่อยไหม อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 LiveWire Alpinista ครุยเซอร์ เสียบปลั๊ก 2025 LiveWire Alpinista รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากค่าย LiveWire แบรนด์ในเครือของค่าย Harley-Davidson โดยในโมเดลใหม่ของทางค่ายนี้มีการออกแบบดีไซน์ผสมผสานระหว่าง ความสวยงาม และประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน ขุมพลัง และสมถรรนะ S2 Alpinista ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 64.6 กิโลวัตต์ พละกำลังเทียบเท่าประมาณ 84 แรงม้ามาพร้อมแรงบิด 263 นิวตันเมตร แรงบิดที่มากมายมหาศาลขนาดนี้เป็นเรื่องธรรมดาของรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 10.5 kWh สามารถทำความเร็วจาก 0-100 โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 159 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยระยะทางสูดสุดในเมืองต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอยู่ที่ 120 ไมล์หรือ 193 กิโลเมตร ในส่วนของระยะเวลาการใช้ชาร์จนั้น หากชาร์จด้วยการชาร์จระดับที่ 1 (110V) จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จจาก 0-100% ที่ 9.1 ชั่วโมง และใช้เวลา 5.9 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-80% และถ้าหากผู้ขับขี่ใช้เครื่องชาร์จระดับที่ 2 ที่มีการการจ่ายกำลังไฟสูงขึ้น (220V) จะใช้เวลาในการชาร์จเร็วขึ้น ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง 22 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-100% และ 1 ชั่วโมง 18 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 20-80% ช่วงล่างจาก Showa ระบบกันสะเทือนล่างด้านหน้าเป็นโช้คอัพจากทาง Showa แบบเทเลสโคปิก ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับค่าได้อย่างเต็มรูปแบบ ด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวจากทาง Showa เช่นเดียวกัน ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับพรีโหลด และรีบาวด์ได้ ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรกเดี่ยวมาพร้อมคาลิเปอร์เบรก BREMBO® M4.32 แบบสี่ลูกสูบ ด้านหลังเป็นคาลิเปอร์เบรกจาก Brembo แบบลูกสูบเดี่ยว มาพร้อมระบบความปลอดภัย ABS ที่แยกอิสระทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ระบบ Traction Control ในส่วนของล้อเป็นล้อแบบอลูมิเนียม ขอบ 17 ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ เมื่อไหร่ที่เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็หมดกังวลในเรื่องของเทคโนโลยีที่มอบให้ เพราะครุยเซอร์เสียบปลั๊กคันนี้มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานแบบจัดเต็ม เริ่มที่ระบบไฟแบบ LED รอบคัน เรือนไมล์ตรงกลางมาพร้อมหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 4 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รวมถึงการดูรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถผ่านหน้าจอ อาทิ ปริมาณคงเหลือของแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ รวมไปถึงระบบนำทาง และมีช่องสำหรับชาร์จไฟแบบ USB-Type C จุดอื่น ๆ ของตัวรถ สีสันที่วางจำหน่าย Glacier Silver (สีเงิน) Asphalt Black (สีดำ) และราคาวางจำหน่ายของเจ้าคันนี้มีราคาอยู่ที่ 17,390 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยอยู่ที่ 734,500 บาท (ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในเรื่องของการจำหน่ายในประเทศไทย อาจจะเป็นไปได้ยากหน่อย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Can-Am Pulse เน็กเก็ดไบค์ไฟฟ้ารุ่นแรก พร้อมให้จองแล้ว เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของวิวัฒนาการในสังคมยุคใหม่ โดยเฉพาะในตลาดสองล้อที่ทางผู้ผลิตหลาย ๆ ค่าย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหามลพิษทางอากาศและปรับตัวให้เป็นไปตามยุคสมัย และเพื่อการลดก๊าซคาร์บอนจากควันไอเสียในเครื่องยนต์สันดาปปรับมาใช้พลังงานทางเลือกใหม่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งทศวรรษที่ผ่านมานี้ ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ อาจได้เห็นผลิตภัณฑ์สองล้อพลังงานไฟฟ้าจากหลากแบรนด์หลายค่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงในเรื่องของรูปลักษณ์ดีไซน์นั้นก็ถูกพัฒนาปรับไปตามยุคสมัยเช่นเดียวกัน อย่างล่าสุดกับผู้นำด้านรถ ATV สัญชาติแคนาดาอย่าง Can-Am ได้ทำการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่นใหม่อย่าง Can-Am Pulse 2025 และ Can-Am Origin พร้อมให้สั่งจองออนไลน์ล่วงหน้าแล้ว หนึ่งในโฉม 2 รุ่นที่อยากกล่าวถึงเป็นอันดับแรกก็คือเจ้า Can-Am Pluse โรดสเตอร์ไบค์ที่มาพร้อมกับความล้ำสมัย และให้ความแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ กับดีไซน์ในลักษณะสไตล์รถเน็กเก็ดไบค์ สวมไฟหน้า LED บิวอินต์ไปที่หน้ากรอบด้านหน้า พร้อมออกแบบตัวถังปาดเหลี่ยมมุมพร้อมโลโก้แบรนด์ ดูมีเอกลักษณ์ และวาดองศาจากตัวถังผ่านเบาะโดยสารไปจนถึงด้านท้ายให้ดูมีระดับเป็นระนาบเดียวกัน และยังเสริมลักษณะการขับขี่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยแฮนด์ทรงยกสูง กระจกข้างบริเวณปลายแฮนด์ ที่ให้มิติการขับขี่ที่ดูสะดวก และเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่สำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันอีกด้วย ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Rotax E-Power พร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า Rotax E-Power ส่งกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลัง ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว โดยให้พละกำลังสูงสุด 47 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 72 นิวตันเมตรที่ 4,600 รอบ สามารถทำท็อปสปีดราว ๆ เกือบ 130 กม./ชม และยังเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 ม.ที่ 3.8 วินาที โดยใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 8.9 kWH สามารถวิ่งได้ถึง 160 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ทั้งยังรองรับการชาร์จแบบ 2 ระดับ โดยใช้เวลาเพียง 1 ชม. 30 นาที สำหรับการชาร์จระดับ 2 (เครื่องชาร์จออนบอร์ด) และ 5 ชม. 15 นาที สำหรับการชาร์จระดับ 1 (ชาร์จในบ้านหรือที่พักอาศัย) หน้าจอสี TFT Display ขนาดใหญ่ พ่วงมาพร้อมระบบการขับขี่ Riding Mode ถึง 4 โหมดได้แก่ (Normal, ECO, Rain, and Sport+) ให้ผู้ขับขี่ปรับได้ตามสถานการณ์การใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม และยังเสริมความปลอดภัยในขณะขับขี่ด้วยระบบแทร็กชันคอนโทรล ระบบแอนตี้ล็อกเบรกกิ้งหรือ ABS ติดมาไว้ในรุ่นนี้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังติดตั้งจอทัสกรีนขนาด 10.25 นิ้วสามารถเชื่อมต่อข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน Apple CarPlay และ BRP Connect สามารถฟังเพลงและรับสายโทรศัพท์รวมถึงฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งยังอัดแน่นด้วยระบบช่วงล่างกับโช้คหน้าหัวกลับ KYB ขนาด 41 มม. พร้อมระยะยุบ 140 มม. ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวจาก Sachs ระยะยุบ 140 มม. ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยว สามารถปรับพรีโหลดได้ ส่วนเรื่องระบบเบรกใช้เป็นจานดิสก์ขนาด 320 มม. และ 240 มม.ใช้คาลิเปอร์เบรก J.Juan ทั้งหน้า-หลัง โดยด้านหน้าเป็น 2 ลูกสูบ ด้านหลังลูกสูบเดียว สวมล้อและยางมาขนาดที่ 110/70 R17 และ 150/90 R17 ตามลำดับ โดยมีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 177 กก. เปิดให้พรีออเดอร์แล้ว โดยสีที่เปิดราคาพรีออเดอร์มี 2 สีด้วยกันได้แก่ สีขาวและสีเทา/ดำ ขายราคาอยู่ที่ 13,999 ดอลล่าร์หรือราวๆ 3.5 แสนบาท และรุ่นแต่งกับ Pulse ‘73 กับสีที่จำหน่ายได้แก่ สีเทา โดยเปิดราคาพรีออเดอร์อที่ 15,999 ดอลล่าร์ หรือราว ๆ 4 แสนบาท นับว่าเป็นโมเดลที่ล้ำสมัยและเหมาะกับไบค์เกอร์ยุคใหม่ ๆ ที่จะมีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าซักคันไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ

FM Factory Torque 1/1 น้องเหล่ ไฟคม สุดท้วมจากอิตาลี หากแว๊บแรงเพียงละม้าย ชายตา ที่มองผ่าน นี่คงเป็นโฉมโมเดลที่สุดจะแปลกและมันดูล้ำพิเศษกว่าโมเดลไหน ๆ จะเรียกว่าเรโทรไบค์คลาสสิคเท่ ๆ ก็ไม่กล้าพูดซะเต็มคำเพราะว่าตาเหล่ซะเหลือเกิน แอดมินหมายถึงรถนะ (บลูลี่รถแหล่ะ) รวมถึงรูปทรงแฟริ่งชิ้นใหญ่จนปิดคลุมทั้งหมดกระทั่งแอบคิดในใจว่าไหนหล่ะ เครื่องยนต์ของมัน…อ้ออ รถไฟฟ้านี่เอง ถ้าใครที่ไม่เคยเห็นข่าวนี้ในเว็บ SuperBike ก็อาจคิดว่ามันคงเป็นโมเดลใหม่ที่พึ่งคลอดเหมือนอย่างที่แอดมินกำลังครุ่นคิด แต่พอลองไปเซิร์ดอากู๋แล้ว เอ๋า..มันเปิดตัวตั้งแต่งาน EICMA 2022 ไปแล้วนี่หว่า ชั้นไปอยู่ในมานี่..นี่มัน DC100 เน็กเก็ดซูเปอร์ไบค์พลังงานไฟฟ้า ผลงานการออกแบบและผลิตขายจริงโดยสตาร์ทอัพจากสัญชาติจีนอย่าง Davinci Motor แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ เพราะทั้งชุดสีและลวดลายไม่เหมือนกันซักนิดด.. แถมยังปักธงอิตาลีบริเวณตูดท้าย จนกระทั่งมาทราบทีหลังว่า อ๋อ..นี่คือ FM Factory Torque 1/1 คอนเซ็ปต์โมเดลใหม่จากทาง FM Factory นั่นเอง DC100 (2022) Torque 1/1 (2024) คราวนี้ก็ต้องขอเกริ่นที่มาของ FM Factory ก็คือบริษัทที่คิดค้น วิจัยและพัฒนา โซลูชัน เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงงานออกแบบฝีมือโดยชาวอิตาเลี่ยน ซึ่งบริษัทดังกล่าวพึ่งถูกเปิดตัวไปหมาด ๆ มาพร้อมกับโฉมคอนเซ็ปต์ไบค์คันแรกซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ Filante และ Davinci (ผู้ออกแบบเจ้า DC100) ถ้าหากดูแล้ว 2 รุ่นนี้มีอะไรหลายจุดที่คล้ายคลึงกันอาทิ มิติรูปทรง มอเตอร์ศูนย์กลางที่อยู่ตรงบริเวณล้อหลัง ไฟหน้าและแฮนด์เป็นต้นแต่ความแตกต่างก็ยังมีให้สังเกตุในหลาย ๆ จุด กับรูปทรงแฟริ่งที่มีความหรูหรารวมถึงดีเทลละเอียดในแบบรถอิตาลี โลโก้ด้านข้าง เบาะคนซ้อนที่ติดตั้งมาให้ ซับเฟรมและบังโคลนหลังรวมถึงระบบช่วงล่าง Francesco Maria Farina ผู้ก่อตั้ง FM Factory กล่าวว่า “TORQUE ถูกออกแบบมาสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบสะสมผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการด้านสุนทรียศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ละด้านได้รับการพิจารณาอย่างพิถีพิถันและผลิตอย่างพิถีพิถัน โดยใช้เทคโนโลยีและวัสดุที่หรูหรา” ขณะเดียวกันในด้านสมรรถนะที่เคลมมาให้ กับแรงบิดสูงสุดที่ 850 นิวตันเมตร และท็อปสปีดในระยะ 0-100 เมตร เคลมมาที่ 2.9 วินาที รวมทั้ง Fast-Charge เพียง 20 นาที ต่อการขับขี่ในระยะทาง 400 กม.ส่วนข้อมูลสเปคอื่น ๆ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด ต้องมารอชมภายในงาน EICMA 2024 จัดขึ้นวันที่ 7 พ.ย.67 นี้และสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป โดยเปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 101,000 ยูโร หรือ 3.87 ล้านบาท หื้มมไม่คนากระเป๋าตังเท่าไหร่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

XAM Off-road 2024 ออฟโร้ดไฟฟ้ารุ่นแรก เผยโฉมแล้ว!! อัปเดตข่าวสารสุดสัปดาห์ ด้วยค่ายรถจากทางฝั่งอิตาลีอย่าง Malaguti เตรียมเซอร์ไพร์สด้วย XAM Off-road 2024 (Off-Road Only) รถทางฝุ่นพลังงานไฟฟ้ารุ่นแรก..!! กับนวัตกรรมใหม่ด้วยแนวคิดผสมผสานระหว่างรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานเข้าด้วยกัน สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อส่งมอบประสบการณ์ขับขี่บนทางออฟโร้ดได้อย่างเต็มพิกัด กำลังสูงสุด 15 แรงม้า และแรงบิดมากสุด 58 นิวตันเมตร โดยเจ้า Xam รุ่นนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ซิงโคนัส ชนิดแม่เหล็กถาวร มีคุณสมบัติให้อัตราเร่งได้ดีและแม่นยำ พร้อมพัดลมระบายความร้อนเสริมเสถียรภาพการทำงานของชุดมอเตอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งให้กำลังที่ 6.7 แรงม้าที่ 2,500 รอบ และกำลังสูงสุดที่รีดออกมาได้มากถึง 15 แรงม้าที่ 1,780 รอบ ขณะเดียวกันแรงบิดให้มาที่ 21 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบ และแม็กซิมั่มที่สามารถเค้นได้มากถึง 58 นิวตันเมตร พร้อมเคลมท็อปสปีดมาให้ที่ 80 กม./ชม. เพื่อประสบการณ์การขับขี่ในทางที่ยากลำบากนั่นเอง ชาร์จแบตไม่เกิน 3 ชม./รอบการใช้งาน ขณะที่กำลังแรงดันของแบตเตอรี่ให้มาที่ 74V มีปริมาณ 2.59 kWH สามารถวิ่งได้ 1-2 ชม. ต่อการขับขี่บนเส้นทางออฟโร้ดในแต่ละครั้ง รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จแบตต่อครั้งที่ 2-3 ชม. ซึ่งเหมาะสำหรับพักเบรกของผู้ขับขี่ในระหว่างเดินทางอีกด้วย โหมดขับขี่ 4 โหมด นอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยโหมดรอบการขับขี่ถึง 4 โหมด สามารถปรับได้ตามเส้นทางและสถานการณ์ ส่วนระบบช่วงล่างกับดิสก์เบรกขนาด 200 มม. พร้อมปั๊มเบรก 4 พอท พร้อมด้วยโช้คแบบหัวกลับ มีระยะยุบ 200 มม. ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม พร้อมระยะยุบ 185 มม. รวมถึงดิสก์เบรกด้านหลังและปั๊มเบรกให้มาเช่นเดียวกัน ส่วนล้อและยางให้มาที่ 70/100-19 และ 90/100-18 โดยโมเดลดังกล่าว เปิดให้จองออนไลน์ผ่านช่องทางออฟฟิเชียล สำหรับใครที่สนใจอยากมีไว้ขี่ลุยสนามหลังบ้านก็ลองดูได้เลย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก