WorldSBK ปี 2026 มีอะไรน่าดู!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ศึก World Superbike Championship รายการแข่งรถโปรดักชันระดับโลก อาจถูกมองว่าเป็นลีกชั้นรองเมื่อเทียบกับรายการภายใต้ผู้จัดเดียวกัน ทว่า WorldSBK 2026 ที่กำลังมาถึง กลับเต็มไปด้วยสัญญาณเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งไลน์อัพนักบิดชุดใหม่จากหลากหลายชาติ การรุกเจาะตลาดเอเชีย และกระแสข่าวการเข้าร่วมของแบรนด์น้องใหม่ จนทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่อาจคือจุดเปลี่ยนที่จะยกระดับเกมการแข่งขันให้ดุเดือดขึ้น และปลุกกระแสความนิยมในบ้านเราอีกครั้งด้วยปัจจัยสำคัญต่อไปนี้
WorldSBK 2026 การมาของผู้จัดรายการแข่งขันรถสูตร 1 (F1)
การมาของผู้จัดแข่งขันหน้าใหม่อย่าง Liberty Media ซึ่งเข้าถือสิทธิ์ MotoGP และ WSBK ผ่านการซื้อกิจการ Dorna ด้วยมูลค่าราว ๆ 1.5 แสนล้านบาท ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่าบรรยากาศของศึกซูเปอร์ไบค์จะถูกยกระดับแบบเดียวกันกับรายการรถสูตร 1 อย่าง Formula 1 ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวที่เน้นดราม่าไม่ใช่เพียงการแข่งขันเท่านั้น รวมถึงการทำคอนเทนต์ให้เข้าถึงแฟนคลับรุ่นใหม่ หรือการออกแบบประสบการณ์ในสนามแข่งให้รู้สึกเป็นอีเวนต์ระดับโกลบอลมากกว่าการแข่งมอเตอร์ไซค์ธรรมดา
สำหรับในมุมของ WorldSBK 2026 นั่นหมายถึงโอกาสที่จะเห็นเกมแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น ดราม่ามากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายฐานคนดูกลุ่มใหม่ ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดเอเชียที่นิยมรถมอเตอร์ไซค์เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะถูกยกระดับไปพร้อมกับกระแสโมโตจีพีหรืออาจมีรูปแบบอีเว้นต์ใหม่ อาทิ ส่งไวด์การ์ดนักแข่ง WSBK ขึ้นไปขี่โมโตจีพี เอา เปกโก้ บัญญาญ่ามาขี่ V4R หรือเชิญนักบิดตำนานอย่าง คาร์ล โฟร์กาตี้ มาขี่แข่งกับ R9 ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
การโอนย้ายนักบิด Motogp สู่สนาม WSBK
![]() |
![]() |
ฤดูกาลหน้าปะทะมันส์อย่างแน่นอน ด้วยการมาของเหล่านักบิดจากทางฝั่งโมโตจีพีอย่าง Miguel Oliveira ที่พึ่งหมดสัญญากับ Yamaha Pramac มาสู่ค่าย BMW Motorrad และการจับคู่กับ Danilo Petrucci นักบิดโมโตทูอย่าง Jake Dixon และนักแข่งขวัญใจขาวไทยอย่าง ก้อง สมเกียรติ จันทรา ที่พึ่งไปเก็บประสบการณ์ในสนามโมโตจีพีมาแล้ว และด้วยประสบการณ์ของนักแข่งเหล่านี้ จะช่วยยกระดับความมันส์มากยิ่งขึ้น
ด้วยฐานแฟนคลับอันเหนียวแน่นของน้องก้องที่สั่งสมมา ทั้งจากไทยและต่างประเทศ ผสมกับการเข้ามาของเหล่านักบิดชื่อดังจากหลายมุมโลกในกริดเดียวกัน ทำให้การเปิดตัวครั้งนี้กลายเป็นเชื้อไฟสำคัญในการสร้างกระแสคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งคลิปไฮไลต์ บทวิเคราะห์ เจาะสถิติ ไปจนถึงคอนเทนต์เบื้องหลังในมุมที่แฟน ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสื่อหลักหรือเพจคอมมูนิตี้ต่างก็พร้อมหยิบเรื่องราวของก้องและ Honda HRC ไปต่อยอด เล่าในมุมมองของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนอย่างมากในการขยายฐานผู้ชมและเพิ่มรัศมีความนิยมของทั้งตัวนักแข่ง ทีมแข่ง และศึก WSBK ให้เติบโตขึ้นไปพร้อมกัน
ด้วยฐานแฟนคลับอันเหนียวแน่นของน้องก้องที่สั่งสมมา ทั้งจากไทยและต่างประเทศ ผสมกับการเข้ามาของเหล่านักบิดชื่อดังจากหลายมุมโลกในกริดเดียวกัน ทำให้การเปิดตัวครั้งนี้กลายเป็นเชื้อไฟสำคัญในการสร้างกระแสคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ทั้งคลิปไฮไลต์ บทวิเคราะห์ เจาะสถิติ ไปจนถึงคอนเทนต์เบื้องหลังในมุมที่แฟน ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสื่อหลักหรือเพจคอมมูนิตี้ต่างก็พร้อมหยิบเรื่องราวของก้องและ Honda HRC ไปต่อยอด เล่าในมุมมองของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนอย่างมากในการขยายฐานผู้ชมและเพิ่มรัศมีความนิยมของทั้งตัวนักแข่ง ทีมแข่ง และศึก WSBK ให้เติบโตขึ้นไปพร้อมกัน
รถจีน > ผู้ท้าชิงใหม่
กระแสข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการที่ CFMoto เตรียมปล่อยซูเปอร์ไบค์สเปคโรงงานอย่าง V4 SR-RR พิกัดแรงม้าเกิน 210 ตัวลงสู่รายการรุ่นใหญ่ โดยการมาของ V4 จาก CFMoto จึงกลายเป็นตัวแปรลึกลับที่ยังไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะแรงจริงแค่ไหน ทั้งในแง่สมรรถนะบนแทร็กและศักยภาพด้านเทคโนโลยี
แต่สิ่งที่แน่นอนคือ การมีผู้เล่นหน้าใหม่จากจีนอาจทำให้เกมการแข่งขันรุ่นคลาสใหญ่สุดในปี 2026 ดูเข้มข้นและน่าจับตามองยิ่งขึ้น เพราะไม่ใช่แค่ศึกแข่งขันระหว่างรถยุโรปกับญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่คือเวทีพิสูจน์ว่า จีน พร้อมแทรกตัวขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในสมรภูมิโลกสองล้อความเร็วสูงจริงหรือไม่
เปลี่ยนชื่อ ขยับรุ่น (WorldSPB)
FIM ประกาศจัดตั้งคลาสใหม่ World Sportbike Championship (WorldSPB) อย่างเป็นทางการสำหรับฤดูกาล 2026 เพื่อเข้ามาแทนที่คลาส WorldSSP300 เดิมในฐานะคลาสรองของศึก WorldSBK หรือเวิลด์ซูเปอร์ไบค์ชิงแชมป์โลก การปรับโครงสร้างครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างบันไดการพัฒนานักบิดที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น จากรุ่นเริ่มต้น ไปสู่ World Supersport (WorldSSP) และรุ่นใหญ่ WorldSBK ในอนาคต
คลาส WorldSPB จะเน้นใช้รถสปอร์ตพิกัดกลางที่วางขายจริงในท้องตลาดหรือที่เรียกกันว่ามิดเดิ้ลเวท ซึ่งให้สมรรถนะเหนือกว่า WorldSSP300 ชัดเจน (ขยับไปใช้รถสปอร์ตคลาสกลางรระหว่าง 400 – 700 ซีซี) แต่ยังคอนโทรลงบประมาณและการแข่งขันไม่ให้หลุดเอื้อม ทั้งยังออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้ผลิตมากขึ้น เพราะสามารถนำโมเดลยอดนิยมอย่างสายสปอร์ตพิกัดไซส์กลางมาใช้แข่งได้โดยตรง
Suzuki ส่งแข่ง
ค่ายคนเดือดเตรียมกลับเข้าสู่การแข่งขันอีกครั้งในปี 2026 หลังห่างหายไปพักใหญ่ทีเดียว โดยคราวนี้เลือกเริ่มต้นบทใหม่ในคลาส World Sportbike Championship (WorldSPB) แทนที่จะลงตรงในรุ่นใหญ่ WSBK เหมือนในอดีต การกลับมาครั้งนี้ใช้รถสปอร์ตพิกัดกลางรุ่น GSX-8R ลงทำศึก ภายใต้ทีม VLR Racing Team Suzuki พร้อมไลน์อัปนักบิดดาวรุ่งอย่าง Jeffrey Buis แชมป์โลก WorldSSP300 สองสมัย และ Kas Beekmans ที่สร้างผลงานโดดเด่นในรายการสปอร์ตไบค์ระดับประเทศมาก่อนหน้า ทำให้การคัมแบ็กของ Suzuki ถูกจับตามองอย่างมาก
ด้านตัวรถ GSX-8R เองก็ถือเป็นอาวุธรุ่นใหม่ของค่าย ที่ใช้เครื่องยนต์พาราเรลทวินขนาดราว 776 ซีซี DOHC ให้แรงบิดจัดและการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง เหมาะกับคาแรกเตอร์การแข่งในคลาสมิดเดิลเวตของ WorldSPB ซึ่งเน้นรถใกล้เคียงกับรุ่นจำหน่ายจริง ช่วงล่างและอิเล็กทรอนิกส์ถูกปรับให้บาลานซ์ทั้งการขี่ในสนามและบนถนน จนกวาดผลงานแชมป์ในรายการสปอร์ตไบค์ระดับชาติอย่าง Pirelli National Sportbike Championship มาแล้ว ก่อนจะยกระดับขึ้นสู่เวทีโลกในปี 2026
กฎน้ำหนักใหม่ เน้นความเท่าเทียม
จากกฎข้อบังคับฉบับใหม่ มีการกำหนดให้น้ำหนักรวมของรถที่ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ อาทิ Ducati Panigale V2 ต้องมีน้ำหนักมากกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ (CBR600R,Kawasaki ZX-6R 636, QJ Motor SRK 800 RR) อยู่ที่ 6 กก.
แนวคิดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการ “ถ่วงดุล” สมรรถนะของแต่ละรูปแบบเครื่องยนต์ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เครื่องยนต์ 2 สูบมักมีแรงบิดจัดในรอบต่ำถึงกลาง ออกโค้งดี เร่งต้นไว ขี่ง่าย ในขณะที่ 4 สูบจะเด่นที่รอบปลายและความเร็วสูงสุด การเพิ่มน้ำหนักให้ฝั่ง 2 สูบจึงเป็นการพยายามลดข้อได้เปรียบด้านการเร่งและความคล่องตัว เพื่อให้ศักยภาพโดยรวมของรถแต่ละแบบอยู่ในกรอบที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น
ปีสุดท้ายของ Pirelli
สถานะของ Pirelli ในฐานะผู้ผลิตยางประจำศึก WorldSBK จะยังคงเดินหน้าต่อไปตลอดฤดูกาล 2026 แบบ “ยางสเปคเดียวทั้งสนาม” หรือ Single Tyre Supplier นั่นหมายความว่าทุกคลาสในแพดด็อก WorldSBK ไม่ว่าจะเป็น WorldSBK, WorldSSP หรือคลาสรองอื่น ๆ จะต้องใช้ยางจาก Pirelli ทั้งหมดเหมือนเดิม ช่วยให้มาตรฐานการแข่งขันยังคงเสถียรต่อเนื่อง หลังจากที่ Pirelli รับหน้าที่เป็นผู้ผลิตยางหลักของรายการนี้มาตั้งแต่ปี 2004 จนกลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของ WorldSBK ไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ฤดูกาล 2026 จะถือเป็นปีสุดท้ายของยุค Pirelli เพราะตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป จะเป็นคิวของ Michelin เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ผลิตยางแต่เพียงผู้เดียวให้ทุกคลาสในรายการแทน ภายใต้สัญญาระยะยาวถึงอย่างน้อยปี 2031 ขณะที่ Pirelli เองก็จะย้ายโฟกัสไปเป็นซัพพลายเออร์หลักของ MotoGP ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นการสลับเวทีระหว่างสองแบรนด์ยางยักษ์ใหญ่ของโลกส่งผลให้ปี 2026 เป็นซีซันสำคัญที่ทั้งทีมแข่งและผู้จัดสามารถเก็บข้อมูล เปรียบเทียบ และเตรียมตัวรับยุคใหม่ของยาง Michelin ใน WorldSBK ได้อย่างเป็นขั้นตอน
ทิศทางเทคโนโลยีใหม่จากสนามแข่งสู่รถโปรดักท์ชัน
เมื่อฝั่ง MotoGP กำลังก้าวเข้าสู่ยุคเครื่องยนต์และแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหันไปใช้ เครื่อง V4 มากขึ้น หรือการพัฒนาแอโรไดนามิกขั้นสูง ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ย่อมส่งแรงสะเทือนมาถึงโลกของ WorldSBK ทั้งแพ็กเกจแอโร่ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งหมดนี้จะค่อย ๆ ทะยอยลงมาปรากฏในรถ WorldSBK มากขึ้น
เมื่อลองมองภาพรวมของทั้ง ข้อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนมือผู้จัด การย้ายค่ายของนักแข่งระดับโลก การเดบิวต์ของนักบิดไทย การเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง CFMoto การเปิดคลาส WorldSPB การคัมแบ็คของ Suzuki กฎระเบียบใหม่ด้านน้ำหนัก การเปลี่ยนยุคผู้ผลิตยาง ไปจนถึงทิศทางเทคโนโลยีและโอกาสของตลาดเอเชีย ทั้งหมดนี้กำลังประกอบร่างกันเป็นกระแสครั้งใหญ่ที่อาจทำให้ WorldSBK 2026 กลายเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่น่าจับตามองที่สุดในรอบหลายปีทีเดียวครับ














