ในโลกของ MotoGP ที่ความเร็วตัดสินกันเพียงเสี้ยววินาที ข้อมูลจากคนวงในที่มีสายตาแหลมคมอย่าง คาร์โล แปร์นัต (Carlo Pernat) มักจะสร้างแรงสั่นสะเทือนได้เสมอ ล่าสุดในช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องปี 2569 แปร์นัตได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ที่ทำเอาสาวก “เดสโมเซดิชี” ทั่วโลกต้องกุมขมับ เมื่อเขาฟันธงว่าบัลลังก์รถแข่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกริต (The Best Bike) ไม่ใช่สีแดงอีกต่อไป แต่กลายเป็นสีดำดุดันของ Aprilia RS-GP พร้อมยัน Aprilia RS-GP ดีกว่า Ducati
เมื่อคำสัมภาษณ์ไม่ใช่แค่การปั่นกระแส
แปร์นัตไม่ได้พูดลอยๆ เพื่อสร้างกระแส แต่เขาอ้างอิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นในพาดด็อกตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา เขาให้ทัศนะผ่านสื่อ Telenord ว่า “หากเราตัดปัจจัยเรื่องชื่อชั้นนักแข่งออกไป แล้วมองไปที่ตัวจักรกลเพียวๆ Aprilia ได้แซงหน้า Ducati ไปแล้วในแง่ของวิศวกรรมการแข่งขัน”
คำกล่าวนี้รุนแรงและตรงไปตรงมา มันเป็นการจิกกัดการทำงานของ Ducati Corse อย่างเจ็บแสบว่ากำลังเสวยสุขบนความสำเร็จเก่าๆ จนลืมไปว่าคู่แข่งร่วมสัญชาติอย่าง Aprilia พัฒนาไปไกลขนาดไหน
Aprilia RS-GP vs Ducati GP25 สงครามเทคโนโลยีที่ผลลัพธ์เริ่มเปลี่ยน
หากพิจารณาในเชิงเทคนิค มี 3 ปัจจัยหลักที่สนับสนุนคำพูดของแปร์นัต
1. อากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) ที่นำหน้าไปหนึ่งก้าว
ในขณะที่ Ducati คือผู้บุกเบิกเรื่อง “ปีก” แต่ในปัจจุบัน Aprilia ภายใต้การนำของ มาสซิโม รีโวล่า และทีมวิศวกร ได้ยกระดับแอโรไดนามิกไปสู่จุดที่เรียกว่า “Ground Effect” อย่างเต็มรูปแบบ รถ RS-GP สามารถสร้างแรงกด (Downforce) ในขณะเอียงรถได้เสถียรกว่า Desmosedici ซึ่งช่วยลดอาการหน้าลอยและทำให้การเข้าโค้งความเร็วสูงคมเหมือนมีดโกน
2. ความเสถียรและความเป็นมิตรต่อผู้ขับขี่ (User-friendly)
จุดอ่อนที่เริ่มเด่นชัดของ Ducati GP25 คือ “ความพยศ” นักแข่งหลายคนเริ่มบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่ารถเริ่มขี่ยากขึ้นและต้องใช้พละกำลังมหาศาลในการควบคุม ตรงกันข้ามกับ Aprilia ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่ “ใครขี่ก็เร็ว” ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่นักแข่งที่ย้ายมาจากค่ายอื่นสามารถทำเวลาต่อรอบได้ดีตั้งแต่วันแรกที่ทดสอบ
3. ความเร็วในโค้ง (Corner Speed)
นี่คือจุดตายที่แปร์นัตย้ำเสมอ Ducati อาจจะยังครองความเป็นเจ้าแห่งทางตรง แต่ในสนามที่มีโค้งต่อเนื่อง Aprilia RS-GP แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถเดินคันเร่งได้เร็วกว่า และออกจากโค้งด้วยสมดุลรถที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ปรากฏการณ์ มาร์โก เบซเซคคี และ ฮอร์เก มาร์ติน
สิ่งที่ยืนยันคำพูดของแปร์นัตได้ดีที่สุดคือฟอร์มการเล่นของ มาร์โก เบซเซคคี หลังจากย้ายออกจากอ้อมกอดของ Ducati มาอยู่กับ Aprilia เขาไม่ได้แค่ขี่ได้ แต่เขา “บิน” ได้บนรถคันใหม่ แปร์นัตวิเคราะห์ว่า “เบซเซคคีไม่ใช่คนเดียวที่พิสูจน์เรื่องนี้ แต่ฮอร์เก มาร์ติน เองก็เคยทำให้เห็นว่ารถที่มีพื้นฐานสมดุลดี มันส่งเสริมนักแข่งได้ขนาดไหน” มันเป็นการส่งสัญญาณว่า หากคุณเอานักบิดเกรด A ไปวางบน Aprilia ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะน่ากลัวกว่าการอยู่กับ Ducati ที่เริ่มเจอทางตันในการพัฒนาเครื่องยนต์
ทฤษฎี “The Marc Marquez Factor” Ducati ชนะเพราะรถ หรือเพราะคน?
นี่คือประเด็นที่เจ็บแสบที่สุดในบทวิเคราะห์ของแปร์นัต เขาตั้งคำถามว่าความสำเร็จของ Ducati ในฤดูกาล 2568 ที่ผ่านมา เป็นเพราะรถดี หรือเป็นเพราะพวกเขาพึ่งพา “มนุษย์ต่างดาว” อย่าง มาร์ค มาร์เกซ มากเกินไป?
“ถ้าวันนี้ Ducati ไม่มี มาร์เกซ ผมกล้าท้าเลยว่าพวกเขาจะเหนื่อยกว่านี้หลายเท่า” แปร์นัตกล่าว การที่มาร์เกซสามารถเค้นสมรรถนะของ Desmosedici ออกมาได้เกิน 100% ทำให้ภาพรวมของทีมยังดูเหนือกว่า แต่ในความเป็นจริง รถ RS-GP ของ Aprilia ต่างหากที่เป็น “อาวุธ” ที่ทรงพลังที่สุดในเชิงวิศวกรรมปัจจุบัน
มุมมองข้อบังคับทางเทคนิค และการขยับตัวของค่ายยุโรป
ในปี 2568-2569 กฎกติกาเรื่อง Concessions และข้อจำกัดด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) เริ่มส่งผลกระทบต่อทุกทีม Aprilia ใช้ช่องว่างนี้ในการทดสอบชิ้นส่วนใหม่ๆ ได้อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะการปรับปรุงระบบระบายความร้อนและความทนทานของเครื่องยนต์ V4 ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อน แต่อย่างที่แปร์นัตบอก “ตอนนี้พวกเขาแก้โจทย์แตกหมดแล้ว”
ถึงเวลาที่ Ducati ต้องเริ่มปรับตัว
คำเตือนของ คาร์โล แปร์นัต ไม่ใช่เรื่องที่ Ducati จะมองข้ามได้ แม้การที่เจ้าตัวจะเผยว่า Aprilia RS-GP ดีกว่า Ducati แต่การที่กูรูระดับโลกออกมาฟันธงว่า Aprilia ดีกว่า คือเสียงสะท้อนว่าบัลลังก์แชมป์โลกกำลังสั่นคลอน หากฤดูกาล 2569 Ducati ยังไม่มี “นวัตกรรม” ที่ฉีกหนีคู่แข่งได้จริงๆ ต่อให้มีนักแข่งที่เก่งที่สุดในโลกอย่างมาร์เกซ ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะต้านทานพายุสีดำจาก Aprilia ได้อีกต่อไป
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก)
อ่านข่าวมอเตอร์ไซค์อื่นๆ คลิกที่นี่




