SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

ราคาและสเปคมอเตอร์ไซค์

  • All Posts
  • ราคาและสเปครถมอเตอร์ไซค์
  • All Posts
  • ราคาและสเปครถมอเตอร์ไซค์
มันสุดมาก ! Martinator เผยความรู้สึกถึงรถ RS-GP

มันสุดมาก ! Martinator เผยความรู้สึกถึงรถ RS-GP Martinator หรือ  Jorge Martin แชมป์ MotoGP คนล่าสุดที่ได้เปิดตัวในฐานะนักแข่งอย่างเป็นทางการของทีมโรงงาน Aprilia Racing เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา โดยการเปิดตัวครั้งนี้ได้เปิดตัวพร้อมกับทีมเมทคนใหม่อย่าง ‘มาร์โก้ เบซเซคคี’ ที่ย้ายมาจากทีม VR46  โดย ‘มาร์ติเนเตอร์’ ได้ออกมาเผยความรู้สึกของเจ้าตัวกับรถแข่ง RS-GP ที่เจ้าตัวได้ลองทำการขี่ทดสอบแล้วในการทดสอบที่สนามบาร์เซโลน่า “ตอนที่ผมขึ้นขี่รถครั้งแรก ผมยอมรับว่าผมไม่รู้จะคาดหวังอะไรแต่ผมก็เปิดใจกับรถคันนี้ไปก่อน แต่เมื่อได้ลองขี่ความรู้สึกของรถคันนี้ที่มอบให้ผม ผมรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งมาก ผมคิดว่านี่คือรถที่ดีที่สุดที่ผมเคยขี่มา มันมีความรู้สึกสุดยอดจริง ๆ” “ในการขับขี่ช่วงแรกผมขี่ค่อนข้างช้า อาจจะเป็นเพราะยังไม่ชิน แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้นมาได้บ้าง และหลังจากการทดสอบผมก็เริ่มมองเห็นถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ที่เกิดกับตัวผมมันอาจจะไม่ใช่สำหรับปัญหาของเอสปากาโร่ หรือบีญาเลส แต่ผมรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวในช่วงแรกมันยังไม่มั่นคงเท่ารถ Ducati แต่เรา และทีมช่างก็เริ่มปรับเปลี่ยนบางอย่างจนทุกอย่างเริ่มมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น” อีกทั้งทีมโรงงาน Aprilia ยังให้สองนักแข่งใหม่อย่างฆอร์เก้ มาร์ติน และมาร์โก เบซเซคคี่ ได้ทำการทดลองขี่รถในโมเดลปี 2024 รวมถึงรถโมเดลต้นแบบในปี 2025 ด้วย   “พวกเรา (มาร์ติน และเบซเซคคี่) ได้ทดลองขี่รถต้นแบบที่จะใช้ในโมเดล 2025 ซึ่งผมว่ามันดีมาก เช่น ชุดแฟริ่งใหม่และการเปลี่ยนแปลงในตัวรถโดยรวม มันเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่เมื่อเทียบกับปี 2024 ในเรื่องของแรงยึดเกาะ (traction) ผมยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ผมต้องปรับตัวเข้ากับรถ มากกว่าที่จะเป็นปัญหาของตัวรถเอง” โดยหลังจากที่ได้ทำการลงทดสอบตัวสำหรับใช้แข่งในโมเดล 2025 เจ้าของแชมป์โลกคนล่าสุดยังออกมายอมรับว่า ตัวเขานั้นยังต้องปรับเปลี่ยนสไตล์การขับขี่ของเขา เพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของรถ RS-GP “ผมรู้สึกว่ารถแข่งนั้นดีมากและมีความสามารถในการแข่งขันสูง แต่ผมต้องใช้เวลาในการเข้าใจว่าจะต้องเร่งตรงไหน เก็บเวลาได้จากจุดใด หรือควรขี่ช้าลงตรงจุดไหน ในการทดสอบที่บาร์เซโลนา ผมขี่เหมือนยังใช้ Ducati อยู่ ผมต้องเปลี่ยนสไตล์การขี่ของผมเยอะมาก” “ผมคิดว่ารถคันนี้ดีมากจริง ๆ ผมแค่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่เท่านั้นเอง ผมคิดว่าเราสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยม” ฆอร์เก้ มาร์ติน จะลงทดสอบตัวแข่งอีกครั้งในการทดสอบรอบเซปัง เทส ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2568 อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

เทียบสเปค Honda ADV350 vs Zontes 368G ปี 2025 คันไหนคุ้มสุด ?

ศึกสกู๊ตเตอร์แอดเวนเจอร์ 2025! เทียบหมัดต่อหมัด Honda ADV350 vs Zontes 368G ค่ายปีกนกที่มั่นคง หรือค่ายน้องใหม่ที่ออปชั่นล้นคัน? เช็กสเปคและราคาล่าสุดเพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด

2025 LiveWire Alpinista ครุยเซอร์ เสียบปลั๊ก

2025 LiveWire Alpinista ครุยเซอร์ เสียบปลั๊ก 2025 LiveWire Alpinista รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากค่าย LiveWire แบรนด์ในเครือของค่าย Harley-Davidson โดยในโมเดลใหม่ของทางค่ายนี้มีการออกแบบดีไซน์ผสมผสานระหว่าง ความสวยงาม และประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน ขุมพลัง และสมถรรนะ S2 Alpinista ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 64.6 กิโลวัตต์ พละกำลังเทียบเท่าประมาณ 84 แรงม้ามาพร้อมแรงบิด 263 นิวตันเมตร แรงบิดที่มากมายมหาศาลขนาดนี้เป็นเรื่องธรรมดาของรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 10.5 kWh สามารถทำความเร็วจาก 0-100 โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 159 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยระยะทางสูดสุดในเมืองต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอยู่ที่ 120 ไมล์หรือ 193 กิโลเมตร ในส่วนของระยะเวลาการใช้ชาร์จนั้น หากชาร์จด้วยการชาร์จระดับที่ 1 (110V) จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จจาก 0-100% ที่ 9.1 ชั่วโมง และใช้เวลา 5.9 ชั่วโมงสำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-80% และถ้าหากผู้ขับขี่ใช้เครื่องชาร์จระดับที่ 2 ที่มีการการจ่ายกำลังไฟสูงขึ้น (220V) จะใช้เวลาในการชาร์จเร็วขึ้น ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง 22 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 0-100% และ 1 ชั่วโมง 18 นาที สำหรับการชาร์จตั้งแต่ 20-80% ช่วงล่างจาก Showa ระบบกันสะเทือนล่างด้านหน้าเป็นโช้คอัพจากทาง Showa แบบเทเลสโคปิก ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับค่าได้อย่างเต็มรูปแบบ ด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวจากทาง Showa เช่นเดียวกัน ระยะยุบตัวอยู่ที่ 4.7 นิ้ว สามารถปรับพรีโหลด และรีบาวด์ได้ ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรกเดี่ยวมาพร้อมคาลิเปอร์เบรก BREMBO® M4.32 แบบสี่ลูกสูบ ด้านหลังเป็นคาลิเปอร์เบรกจาก Brembo แบบลูกสูบเดี่ยว มาพร้อมระบบความปลอดภัย ABS ที่แยกอิสระทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ระบบ Traction Control ในส่วนของล้อเป็นล้อแบบอลูมิเนียม ขอบ 17 ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ฟังก์ชั่นการใช้งานครบ เมื่อไหร่ที่เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ก็หมดกังวลในเรื่องของเทคโนโลยีที่มอบให้ เพราะครุยเซอร์เสียบปลั๊กคันนี้มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานแบบจัดเต็ม เริ่มที่ระบบไฟแบบ LED รอบคัน เรือนไมล์ตรงกลางมาพร้อมหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 4 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รวมถึงการดูรายละเอียดต่าง ๆ ของตัวรถผ่านหน้าจอ อาทิ ปริมาณคงเหลือของแบตเตอรี่ ระยะทางที่วิ่งได้ รวมไปถึงระบบนำทาง และมีช่องสำหรับชาร์จไฟแบบ USB-Type C จุดอื่น ๆ ของตัวรถ สีสันที่วางจำหน่าย Glacier Silver (สีเงิน) Asphalt Black (สีดำ) และราคาวางจำหน่ายของเจ้าคันนี้มีราคาอยู่ที่ 17,390 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยอยู่ที่ 734,500 บาท (ราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในเรื่องของการจำหน่ายในประเทศไทย อาจจะเป็นไปได้ยากหน่อย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Aleix Espargaro เชื่อ มาร์ตินไปได้สวยกับ Aprilia

Aleix Espargaro เชื่อ มาร์ตินไปได้สวยกับ Aprilia Aleix Espargaro อดีตนักแข่งทีม Aprilia ที่ในปัจจุบันได้ประกาศเลิกแข่งขันอย่างเป็นทางการ แล้วไปเป็น Test-Rider ให้กับทีม HRC Honda โดยเทสไรเดอร์รายนี้ได้ออกมาเผยว่าแชมป์โลกคนล่าสุดอย่าง ‘ฆอร์เก้ มาร์ติน’ จะสามารถไปได้ด้วยกับต้นสังกัดใหม่ มั่นใจมาร์ตินอนาคตสดใส ฆอร์เก้ มาร์ติน แชมป์โลก MotoGP คนล่าสุดที่ได้ย้ายต้นสังกัดใหม่จาก Prima Pramac สู่ทีมโรงงานของ Aprilia เหมือนได้รับแรงกดดันเบา ๆ จากอดีตนักแข่งทีมโรงงาน Aprilia อย่าง อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร่ ว่ามาร์ตินจะสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้มาร์ตินจะยืนยันแล้วว่าเขาจะไม่ป้องกันตำแหน่งในปี 2025 ในปีแรกกับรถ RS-GP “ผมเชื่อเสมอว่าเราสามารถต่อสู้เพื่อแชมป์โลกกับ Aprilia ได้ และผมพูดสิ่งนี้ด้วยความจริงใจที่สุด เพราะตัวผมเองก็ไม่มีพรสวรรค์แม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับนักแข่งที่ต่อสู้เพื่อแชมป์ แต่ผมก็สามารถชนะการแข่งขันกับรถคันนี้ได้ ผมทำตำแหน่งโพลและสร้างสถิติในหลายสนาม” “ผมไม่ได้บอกว่าฆอร์เก้จะทำได้ในปีนี้ แต่เขาจะสามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างแน่นอน” เปโดร อคอสต้า คือคู่แข่งคนสำคัญ ไม่เพียงแค่ปลุกใจมาร์ตินเท่านั้น แต่เอสปากาโร่เองก็ยังเตือนอีกว่า เปโดร อคอสต้า จะเป็นหนึ่งในนักแข่งที่มีความน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่านักแข่งจากทีมโรงงานของ Ducati จะยังเหนือกว่านักแข่งคนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย  “ทีมเก่าของผมกำลังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ KTM ก็ได้เปรียบจากดาวรุ่งที่น่าเหลือเชื่ออย่างเปโดร ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งแชมป์ แม้ว่ารถ Desmosedici จาก Ducati จะยังคงเหนือกว่ารถคันอื่น ๆ อยู่ก็ตาม” ฆอร์เก้ มาร์ติน และมาร์โก เบซเซคคี สองนักบิดจากทีมโรงงานของ Aprilia จะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคมนี้ สาวกของ ‘มาร์ติเนเตอร์’ รอติดตามได้เลย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Harley-Davidson เปิดโมเดลรับปีใหม่ พร้อมจำหน่ายมกราคมนี้ !

2025 Harley-Davidson เปิดโมเดลรับปีใหม่ พร้อมจำหน่ายมกราคมนี้ ! เมื่อก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ ใครต่อใครหลายคนก็อาจจะพึ่งเริ่มตั้งเป้าหมายปีใหม่ว่าจะทำอะไร หรือค่ายรถบางค่ายก็อาจจะเริ่มเปิดเผยแผนการเปิดตัวในอีกหลาย ๆ เดือนถัดไปว่าโมเดลของค่ายจะมีอะไรบ้าง แต่นั่นไม่ใช่วิธีการ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เพราะทางฮาร์ลีย์ได้เริ่มต้นปีด้วยการประกาศ 2025 Harley-Davidson โดยเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์โมเดลกลุ่มแรกสำหรับปี 2025 โดยครั้งนี้เน้นไปทางรุ่นที่กลับมาวางจำหน่ายในกลุ่ม Grand American Touring และ Trike ที่มีรุ่นยอดนิยมอย่าง Street Glide, Road King Special, และ Tri Glide Ultra Harley-Davidson กลุ่ม Grand American Touring 2025 รุ่นพื้นฐานอย่าง Street Glide และ Road Glide ที่เป็นโมเดลหลักของตระกูล Touring ยังคงกลับมาอีกครั้งในปี 2025 ในส่วนของเครื่องยนต์ยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 117 ระบายความร้อนด้วยน้ำฃฃให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และแรงบิด 176 นิวตันเมตร เพียงพอสำหรับการเดินทางไกลอย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Skyline OS โดยมีหน้าจอสัมผัสสี TFT ขนาด 12.3 นิ้วแอมพลิฟายเออร์กำลังขับ 200 วัตต์, และลำโพงที่ติดตั้งบิวท์อินในแฟริ่ง พร้อมฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น  ทั้งรุ่นย่อยอย่าง Street Glide และ Road Glide ได้รับการปรับปรุงในส่วนด้านหน้า โดย Street Glide มาพร้อมแฟริ่งที่ติดตั้งบนโช้คซึ่งออกแบบใหม่ ขณะที่ Road Glide ใช้แฟริ่งที่ติดตั้งบนเฟรม ทั้งสองรุ่นได้รับการพัฒนาให้จัดการกับลมได้ดีขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์ของดีไซน์ batwing และ shark-nose ไว้อย่างชัดเจน ทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่ของฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เช่น Cornering ABS, Traction Control, และ Vehicle Hold Control โดยผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกตกแต่งด้วยขอบโครมหรือสีดำได้ตามความชอบ ในส่วนของสีสันที่วางจำหน่ายจะมีตัวเลือกสีอย่างน้อย 7 สี ซึ่งรวมถึงเฉดสีใหม่จากโปรแกรม Factory Custom โดยตัวเลือกสีเหล่านี้จะเพิ่มราคาตั้งแต่ 600 ดอลลาร์ ถึง 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ (ตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 20,000 -100,000 บาท) โดยราคาจะขึ้นอยู่กับสีที่ผู้ขับขี่เลือก Street Glide Road Glide   ทั้งสองรุ่นมีราคาวางจำหน่ายดังนี้ โดย Street Glide มีราคาเริ่มต้นที่ 27,749 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 980,000 บาทไทย และ Road Glide มีราคาเริ่มต้นที่ 27,999 ดอลลาร์สหรัฐ ราว ๆ 990,000 บาทไทย โดยราคาไทยยังไม่รวมภาษี ในส่วนของรุ่น Road King Special มาพร้อมเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 114 ดีไซน์มินิมอล แฮนด์บาร์ทรง mini-ape และการตกแต่งในโทนสีดำทั้งคัน มาพร้อมระบบความปลอดภัย ABS เป็นมาตรฐาน แต่หากต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น Cornering ABS และ Traction Control จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เเละราคาจำหน่ายเริ่มต้นสำหรับรุ่นนี้ อยู่ที่ 25,749 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นมูลค่าเงินไทยราว 910,000 บาทไทย หากสีสันแบบธรรมดายังไม่โดนใจ ทางฮาร์ลีย์ยังมีโปรแกรมสีชื่อว่า ‘Factory Custom Paint & Graphics’ โดยมีดีไซน์สีพิเศษให้เลือก 3 แบบ และเปิดให้เลือกเฉพาะในบางรุ่นเท่านั้น สำหรับ Street Glide ปี 2025 มาพร้อมตัวเลือกสี Midnight Firestorm ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 2,900 ดอลลาร์ หรือราว ๆ

Vespa 946 Snake เวสป้าปีงู ลิมิเต็ด 888 คัน

Vespa 946 Snake เวสป้าปีงู ลิมิเต็ด 888 คัน สำหรับสาวกเวสปิสตี้การจะมีเวสป้าสักคันติดบ้านก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกอะไร แต่จะให้ไปซื้อโมเดลที่วางขายตามปกติในท้องตลาดก็ดูจะซ้ำกับชาวบ้านไปเสียหมด จะดีกว่าไหมถ้าเลือกซื้อทั้งทีต้องเป็นตัวลิมิเต็ด Vespa 946 Snake ‘Icy’ โมเดลใหม่จากทาง Vespa แบรนด์รถจักรยานยนต์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ได้ผลิตคอลเลคชันต้อนรับปีนักษัตรใหม่ หลังจากในปีที่ผ่านมาได้ทำการเปิดตัวคอลเลคชั่น ‘Dragon’ เพื่อต้อนรับปีมังกร และในปี 2025 ก็ได้เปิดตัวคอลเลคชั่น Snake เพื่อต้อนรับปีงู โดยมีการวางจำหน่ายด้วยจำนวนจำกัดเพียง 888 คันทั่วโลก โดยในโมเดลนี้มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์สูบเดียว ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาดเครื่องยนต์ 155 ซีซี โดยการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจาก บรรยายกาศทิวทัศน์ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เน้นความเรียบง่ายแต่ก็ยังสามารถดึงดูดสายตาได้ โดดเด่นด้วยสีฟ้าเงางามในเฉดเย็นที่สื่อถึงความบริสุทธิ์และความแข็งแกร่งของทิวทัศน์หิมะ แรงบันดาลใจเพิ่มเติม จากงู ที่เป็นปีนักษัตรของปี 2025 ถูกถักทอเข้าไปในทิวทัศน์ที่เยือกเย็น (สีของตัวรถ) โดยผ่านที่จับแฮนด์บาร์ และเบาะนั่ง ซึ่งออกแบบให้สะท้อนถึงลักษณะสัมผัสที่นุ่มนวลของผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลาน เพลทงูเคลือบโครเมียมที่ปรากฏบนฝาปิดถังน้ำมัน และแผ่นกันโคลน ช่วยเติมเต็มการออกแบบที่ผสมผสานความแข็งแกร่ง ความสง่างาม และความเป็นเอกลักษณ์ของตัวรถในโมเดลนี้  โมเดลในปีนักษัตร ‘กระต่าย’ โมเดลในปีนักษัตร ‘มังกร’   โดยเวสป้าปีนักษัตรรุ่นลิมิเต็ดนี้ จะมีวางจำหน่ายเพียงจำนวน 888 คันทั่วโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในคอลเลคชันของ Lunar Collection ซีรีส์โมเดลลิมิเต็ดปฏิทินจันทรคติตามปีนักษัตรต่าง ๆ หลังจากปีมังกรในปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เป็นการก้าวเข้าสู่ปี 2025 ที่เป็นปีงูซึ่งเป็นสัตว์อันทรงพลัง และลึกลับที่จะกระตุ้นให้ผู้ขับขี่ก้าวผ่านขีดจำกัด ใช้ชีวิตด้วยความกล้าหาญ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายที่ประเทศอิตาลี ก่อนที่จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยราคาวางจำหน่ายจะอยู่ที่ราว ๆ 15,000 ถึง 20,000 ยูโร (หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 600,000 ถึง 800,000 บาท) เวสปิสตี้ติดแกลม คันนี้น่าเล่นอนาคตมูลค่าเพิ่มแน่นอน (มั้ง) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Honda Dunk มินิไบค์ สไตล์แดนอาทิตย์อุทัย

Honda Dunk มินิไบค์ สไตล์แดนอาทิตย์อุทัย Honda Dunk เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการในประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะมีรถยนต์ไซส์เล็กอย่าง Kei-Car (รถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 660 ซีซี พละกำลังไม่เกิน 64 แรงม้า) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากแล้ว มอไซค์ไซส์เล็กซีซีน้อยก็เป็นที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เพราะมินิมอลไบค์ที่มีขนาดเล็ก ไซส์กระทัดรัด เน้นขับขี่ง่าย และความคล่องตัว เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นในเมืองหรือพื้นที่คับแคบ ตามซอย หรือชุมชนอัดต่าง ๆ เครื่องยนต์ และช่วงล่าง น้องเล็กคันนี้มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 49 ซีซี สูบเดียวระบายความร้อนด้วยน้ำ พละกำลัง 4.5 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 4 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที และที่สำคัญในโมเดลนี้มาพร้อมกับระบบ Idling Stop System ถูกออกแบบมาเพื่อหยุดการทำงานขณะรถหยุดนิ่ง ในส่วนของระบบกันสะเทือน ด้านหน้าจะเป็นโช้คอัพแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยว ในส่วนของระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกเดี่ยว ด้านหลังเป็นดรัมเบรก แม้จะเป็นรถไซส์เล็กแต่ก็อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ มากมาย บริเวณด้านหน้าของตัวรถทางด้านซ้ายเป็นช่องเก็บของพร้อมฝาปิด โดยภายในจะมีช่องจ่ายไฟแบบ USB Type-A ทางฝั่งขวาจะเป็นช่องใส่ของแบบไม่มีฝาปิดสามารถใส่เครื่องดื่มขนาด 500 มิลลิลิตรลงไปได้ (ทางค่ายเขาว่ามาแบบนี้) และมาพร้อมตะขอเกี่ยวของตรงกลาง ใต้เบาะจะเป็นช่องเก็บของขนาด 23 ลิตร ฟีเจอร์ต่าง ๆ ของตัวรถ ช่องจ่ายไฟแบบ USB Type-A ช่องเก็บของใต้เบาะขนาด 23 ลิตร ตะขอเกี่ยวของบริเวณด้านหน้า  Idling Stop System เรือนไมล์แบบอนาล็อก เครื่องยนต์เทคโนโลยี eSP   สีสันที่วางจำหน่าย Matte Jeans Blue Metallic Pearl Deep Mud Gray Matte Ballistic Black Metallic   ในโมเดลนี้จะมีวางจำหน่ายแค่เพียงประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 229,900 เยน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 50,330 บาท (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่มั่นใจได้เลยว่าถ้าเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทย ช่างไทยจัดให้ จัดทรงซิ่ง โมดิฟายสไตล์รถป๊อป (Honda DIO ZX) อย่างแน่นอน แง๊น ๆๆ แง๊นนนนน อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

CFMoto 750SR สปอร์ตสี่สูบเรียงจากแดนกังฟู

CFMoto 750SR สปอร์ตสี่สูบเรียงจากแดนกังฟู CFMoto 750SR รหัสโมเดลใหม่ล่าสุดของสปอร์ตไบค์คลาสกลาง จากค่าย CF Moto แบรนด์รถจักรยานยนต์ชื่อดังจาก สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรายงานล่าสุดออกมาว่าตอนนี้ทางค่ายได้ผ่านขั้นตอนของการยื่นจดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อย คาดเปิดตัวได้เร็วสุดกลางปีนี้ การออกแบบดีไซน์ โมเดล 750SR โมเดล 675SS   การออกแบบดีไซน์รอบคันของว่าที่เรือธงคันใหม่ของค่ายลำนี้ ดูผิวเผินอาจจะมีความคล้ายคลึงกับญาติพี่น้องร่วมชายคาอย่างโมเดล CFMoto 675SS ที่พึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้า แต่ก็มีการปรับปรุงในส่วนของเส้นสายรอบคันให้มีความดุดันมากยิ่งขึ้น ซึ่งในจุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจะเป็นในส่วนของวิงก์เล็ตหน้าที่มีขนาดใหญ่กว่า สเปคเครื่องยนต์เบื้องต้น ในด้านของรายละเอียดเครื่องยนต์ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ออกมาเยอะมากมาย โดยจะมีรายละเอียดที่สำคัญบางจุดเท่านั้น ได้แก่ เครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียง ขนาด 749 ซีซี พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 110 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดได้อยู่ที่ประมาณ 143 ไมล์/ชม. หรือ 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และน้ำหนักรวมของสปอร์ตไบค์คันนี้อยู่ที่ 213 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักใกล้เคียงกับ Kawasaki Z900, Suzuki V-Strom 650 หรือบิ๊กสกู๊ตเตอร์จากค่ายส้อมเสียงอย่าง Yamaha TMAX 530 เรียกได้ว่าถ้าขี่โมเดลแบรนด์เจ้าตลาดได้ ก็ขี่ 750 จาก CFMoto ได้แบบสบาย ๆ ซึ่งเครื่องยนต์นี้มีขนาดกระบอกสูบอยู่ที่ 72 มม. และเครื่องยนต์ของสามสูบของโมเดล 675SS ก็ใช้กระบอกสูบขนาด 72 มม.เช่นกัน จึงอาจจะมีความเป็นไปได้ว่าองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ลูกสูบ วาล์ว และการออกแบบห้องเผาไหม้อาจเป็นการสืบทอด และพัฒนามาจากรุ่น 675SS ช่วงล่าง และระบบเบรก ในส่วนของระบบกันสะเทือนอาจะมีความคล้ายคลึงกับโมเดล 675SS ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยด้านหน้าเป็นโช้คอัพแบบหัวกลับจาก KYB และด้านหลังเป็นโช้คอัพเดี่ยวจาก KYB เช่นเดียวกันทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ในเรื่องของระบบเบรก ด้านหน้าติดตั้งคาลิเปอร์เบรกแบบเรเดียล เมาท์จากทาง Brembo มาพร้อมล้อหน้าขนาด 120/70-17 และ 180/55-17 สำหรับล้อหลัง ระบบเบรกทั้งด้านหน้า และด้านหลังมาพร้อมระบบความปลอดภัย ABS เทคโนโลยีรถแข่งที่มาพร้อมกับตัวรถ รถจากค่ายจีนขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของการมอบเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่มาแบบจัดเต็ม อีกทั้งค่ายจีนแบรนด์นี้ยังเป็นค่ายที่ส่งรถเข้าไปร่วมทำการแข่งขันในรายการ Moto2 และ Moto3 ด้วยเหตุนี้การถ่ายโอนเทคโนโลยีจากรถแข่งสู่รถถนนทั่วไปก็อาจเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ ซึ่งในรุ่นว่าที่เรือธงลำนี้ก็อาจอัดเทคโนโลยีมาแบบไม่น้อยหน้า แต่ในช่วงพัฒนานี้จะมีการเปิดเผยออกมาเพียงบางอย่างเท่านั้น อาทิ ระบบไฟแบบ Full LED หน้าจอสีแบบ TFT ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Traction Control) และระบบป้องกันล้อหลังยก (Rear-Wheel Lift Control) ที่เป็นอีกเทคโนโลยีในรถระดับรถ 1000 ซีซี ซึ่งถ้ามีเทคโนโลยีระบบป้องกันล้อหลังยกก็อาจจะมีเทคโนโลยีในส่วนของ IMU 6 แกนที่จะร่วมประมวลผลเพื่อควบคุมการทำงานของ Anti Wheelie (ระบบป้องกันล้อหน้ายก) ร่วมด้วย ย้ำว่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ในส่วนของการวางจำหน่ายคาดการณ์ว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้เร็วสุดในช่วงกลางปี 2025 ในส่วนของประเทศจีน และประเทศทางฝั่งยุโรป ซึ่งโมเดลใหม่นี้เป็นการเสริมทัพรุ่นน้องอย่างโมเดล 450SR และ 675SR-R ที่วางจำหน่ายไปแล้วก่อนหน้านี้ หรือโมเดลสี่สูบเรียงที่จะเปิดตัวใหม่นี้ อาจเป็นการกรุยทางเพื่อต้อนรับเครื่องยนต์ V4 ก็เป็นได้ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 CFMoto 675SS พลังแรงจากแดนมังกร

2025 CFMoto 675SS พลังแรงจากแดนมังกร 2025 CFMoto 675SS สปอร์ตคลาสกลางจากค่าย CFMoto เปิดตัว และวางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้วในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศทางโซนยุโรป มาพร้อมเทคโนโลยีเครื่องยนต์สามสูบเรียง พร้อมการออกแบบดีไซน์ที่เน้นไปที่ความสปอร์ต เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจในตลอดการเดินทาง จุดเด่นที่น่าสนใจ ไฟหน้าดีไซน์สปอร์ต คาลิเปอร์เบรกจาก J.Juan หน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว ไฟท้ายเพิ่มความเป็นสปอร์ต 2025 CFMoto 675SS สเปค และรายละเอียด เครื่องยนต์ เครื่องยนต์สามสูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 675 ซีซี แรงม้า (เคลม) 95 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาที แรงบิด (เคลม) 69.9 นิวตันเมตรที่ 8,250 รอบต่อนาที ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 72 มม.x 55.2 มม. อัตราส่วนการอัด N/A ระบบเกียร์ 6 สปีด พร้อมระบบ Slipper Clutch ระบบจุดระเบิด Electronic ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีด ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า ระบบคลัตซ์ คลัตซ์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ระบบส่งกำลังสุดท้าย โซ่ ความจุถังน้ำมัน 15.1 ลิตร ยางหน้า 120/70-R17 ยางหลัง 180/55-R17 ระบบกันสะเทือนหน้า โช้คอัพแบบ USD จาก KYB สามารถปรับค่าพรีโหลด, คอมเพลสชัน และรีบาวด์ได้ ระยะยุบ 130 มม. ระบบกันสะเทือนหลัง โช้คอัพเดี่ยว จาก KYB สามารถปรับค่าพรีโหลด และรีบาวด์ได้ ระยะยุบ 130 มม. ระบบเบรกหน้า ดิกส์เบรกคู่พร้อมคาลิเปอร์จาก J.Juan แบบสี่ลูกสูบ พร้อมจานเบรกขนาด 300 มม. ระบบเบรกหลัง ดิสก์เบรกเดี่ยวพร้อมคาลิเปอร์จาก J.Juan แบบลูกสูบเดี่ยว พร้อมจานเบรกขนาด 240 มม. กว้าง x ยาว x สูง 728 x 2,020 x 1,105 มม. ระยะฐานล้อ 1,399 มม. ระยะห่างจากพื้น 144.78 มม. ความสูงเบาะ 810 มม. น้ำหนักรถ 194.5 กิโลกรัม เทคโนโลยี ระบบ ABS แบบ Dual-Channel  ระบบไฟ LED รอบคัน หน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน CFMoto RideSync Connectivity Quick Shifter แบบทางเดียว (Upper)   สีสันที่วางจำหน่าย Nebula Black Nebula White   ในส่วนของการวางจำหน่ายในโมเดลนี้จะวางจำหน่ายในประเทศจีน และประเทศทางฝั่งยุโรป ด้วยมีราคาค่าตัวอยู่ที่ 7,999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ 276,400 บาท สายสปอร์ตไบค์ไซส์กลางในไทยหากสนใจตัวนี้อาจจะทำได้แค่ดูผ่านมือถือไปก่อน เพราะข่าวคราวเงียบสงัด อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Yamaha NMAX Turbo มีอะไรที่ “เพิ่ม” จากตัวเก่า

2025 Yamaha NMAX Turbo มีอะไรที่ “เพิ่ม” จากตัวเก่า 2025 Yamaha NMAX Turbo เปิดตัวพร้อมวางจำหน่ายแล้วอย่างเป็นทางการในประเทศอินโดนีเซีย โดยการเปิดตัวของโมเดลน้องเล็กในตระกูล Max-Series นี้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายจุดที่แทบจะเรียกว่าเป็น All New เลยก็ว่าได้ ซึ่งจะมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างนั้นมาเริ่มดูไปพร้อม ๆ กัน ดีไซน์รอบคันปรับเปลี่ยนแค่นิดหน่อย NMAX Turbo 2025 Yamaha NMAX 2024   เริ่มต้นกันด้วยดีไซน์รอบคันของน้องเล็กสุดในตระกูล Max-Series โดยดีไซน์ที่ว่านี้คือดีไซน์ของ ‘ตัวถัง’ รอบคันที่มีขนาดของตัวรถ และมิติรถที่เรียกว่าเท่าเดิมเลยก็แทบจะว่าได้ แต่ยังคงเอกลักษณ์ และสไตล์ของความเป็น NMAX ด้วยเส้นสายรอบคันที่ทำให้รถคันนี้ดูมีความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ไฟหน้า และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ การออกแบบดีไซน์ในส่วนไฟหน้าของ NMAX ในโมเดลใหม่นี้ เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะทางค่ายได้ทำการทุบหน้าเก่า แล้วจัดการดีไซน์ใหม่ให้ออกมาอย่างหล่ออย่างไร้ที่ติ เฉียบคม ดุดัน เพิ่มความสปอร์ตให้กับตัวรถมากขึ้น ไม่เพียงแค่ไฟหน้าที่ได้รับการออกแบบดีไซน์ใหม่ แต่ในส่วนของไฟท้ายก็มีการออกแบบดีไซน์ใหม่เช่นเดียวกัน ที่เหมือนจะเป็นการแยกไฟเลี้ยว และไฟท้ายออกจากกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งในโมเดลที่วางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นไฟท้ายแบบก้อนเดียว โช้คอัพหลังมาพร้อมซับแทงค์ เรื่องนี่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อยสำหรับสาวก แม้ว่าระบบกันสะเทือนด้านหน้าจะให้ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นเทเลสโคปิกไว้อย่างเหนียวแน่น และด้านหลังก็ยังคงเป็นสปริงคู่ที่ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม แต่เหมือนว่าจะมีแสงสะท้อนจากพระอาทิตย์สะท้อนระยิบระยับเหมือนมีกระปุกอะไรบางอย่างติดมาด้วย ใช่แล้วครับเพราะในที่สุดทางค่ายก็ให้ความเมตตาแล้วทำการมอบซับแทงค์จากโรงงานมาให้เป็นที่เรียบร้อย ระบบส่งกำลังอัพเกรดใหม่ ในส่วนของเครื่องยนต์ยังเป็นเครื่องยนต์เดิมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Blue Core สูบเดียวระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดเครื่องยนต์ 155 ซีซี พละกำลัง 15.15 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 14.2 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที  แม้จะมีคำว่า ‘TURBO’ ต่อท้าย แต่เทอร์โบที่ว่านี้ไม่ได้เป็นระบบเทอร์โบชาร์จแบบรถยนต์ เพราะสิ่งที่น่าสนใจคือโมเดลใหม่นี้มาพร้อมเทคโนโลยีเกียร์ที่มีชื่อว่า YECVT หรือ Yamaha Electric CVT ที่เข้ามาแทนที่เกียร์ CVT เดิม พร้อมมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่เร็ว แรง เสมือนรถติดเทอร์โบ และที่สำคัญยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกใช้ง่ายสองโหมด ได้แก่ T-Mode สำหรับการขับขี่ในเมือง และ S-Mode หรือโหมดสปอร์ตที่จะสามารถรีดประสิทธิภาพเครื่องยนต์ให้มีความเร้าใจมากยิ่งขึ้น (รอบมาไวขึ้นนั่นแหละ) หน้าจอกลางดีไซน์ใหม่ เพื่อให้ได้อารมณ์ของความเป็น ‘ออลนิว’ ที่แท้จริงทางค่ายได้ทำการกระชากจอเดิมออก แล้วจัดการใส่จอใหม่ที่มีดีไซน์สวยงามมากยิ่งขึ้น หลายท่านอาจคุ้นตากับจอนี้ เพราะจอนี้เป็นจอที่ปรับดีไซน์มาจากพี่ชายกลางของบ้าน Max-Series อย่าง ‘X-MAX’ รองรับระบบนำทาง Garmin Street Cross เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ตลอดการเดินทาง และในเรื่องของการวางจำหน่ายในประเทศไทยนั้นก็ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม ว่าทางไทย ยามาฮ่ามอเตอร์ จะนำโมเดลนี้มาทำตลาดหรือไม่ กดติดตาม SuperBike Thailand ไว้เลย หากมีข่าวสารเพิ่มเติมอย่างไร จะมาอัพเดทให้อย่างแน่นอน อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก