SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

ข่าวรถยนต์ รีวิวรถยนต์ รถไฟฟ้า EV รถยนต์เปิดตัวใหม่

ข่าวรถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!

รีวิวรถยนต์

Coming soon…

รถยนต์ไฟฟ้า

No Posts Found!

  • All Posts
  • รถไฟฟ้า
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
Barq Rena Max

Barq Rena Max สกูตเตอร์ไฟฟ้าจากสตาร์ทอัพสัญชาติอาหรับ ใคร ๆ ทุกคนต่างรู้ว่าเรากำลังอยู่ในยุคแห่งโรคระบาดที่ทำให้เราต้องหลีกเลี่ยงจากผู้คนหมู่มาก วิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ได้เปลี่ยนไป หลาย ๆ อย่างถดถอยถึงขั้นเสื่อมลง แต่นั่นก็เป็นโอกาสในบางอย่างได้เติบโตขึ้น สิ่งนั้นก็คือโลจิสติกส์ หรือการขนส่ง และโดยเฉพาะการขนส่งขั้นสุดท้าย คือจากเจ้าหน้าที่ขนส่งถึงมือผู้รับ พาหนะที่คล่องตัวที่สามารถไปได้ในทุก ๆ ที่ในเมืองอย่างสกูตเตอร์จึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในยุคนี้ และในห้วงเวลาที่โลกเรากำลังคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมสกูตเตอร์ไฟฟ้าจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับ Barq Rena Max สกูตเตอร์ไฟฟ้าจากสตาร์ทอัพรายใหม่ในดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เองก็เป็นที่น่าสนใจในกรณีนี้ บาร์คคือธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่มีถิ่นฐานตั้งอยู่ที่ดูไบ ได้ทำการสร้างสกูตเตอร์ไฟฟ้าโมเดลนี้นขึ้นมาเพื่อใช้ในธุรกิจขนส่งโดยเฉพาะ ตัวรถจะใช้แบตเตอรีแบบลิเธียมไอออนขนาด 5.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อให้พลังงานมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 9 กิโลวัตต์ ที่ให้ระยะทางการใช้งานได้ราว ๆ 150 กม. นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ที่สามารถถอด เพื่อนำแบตเตอรี่ลูกใหม่ที่ชาร์จเต็มแล้วมาใช้งานต่อได้อีกด้วย ทางแบรนด์ยังเคลมมาอีกว่าโมเดลนี้สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 96 กม./ชม. เลยทีเดียว ดังนั้นบอกเลยว่าใช้งานในเมืองได้แบบสบาย ๆ  ตัวรถจะใช้หน้าจอแสดงผลสีแบบ TFT แสดงผลข้อมูลที่จำเป็นต่อการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีแท็บเล็ตขนาด 8 นิ้วที่ใช้สำหรับการขนส่งและเป็นระบบนำทางในตัว แน่นอนว่าสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านระบบบลูทูธได้ รวมไปถึงยังมีช่องจ่ายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย จุดที่สำคัญสำหรับโมเดลนี้เลยก็คือกล่องท้ายขนาดใหญ่สำหรับใส่พัสดุหรืออาหารที่จุได้มากถึง 79 ลิตร (จำหน่ายแยก) เท่านั้นยังไม่ตัวรถยังมีคูลเลอร์ขนาด 9 ลิตรอยู่บริเวณด้านหน้าคนขับและช่องเก็บของขนาด 5 ลิตรอยู่ในตัวเฟรมของรถอีกด้วย  ในส่วนของช่วงล่างนั้นของตัวรถที่ดูเหมือนกล่องยาว ๆ นั้นยังเป็นจุดสำคัญใช้ยึดสวิงอาร์มเดี่ยวและโช้คอัพเดี่ยวแบบสปริงสตรัทกับล้อหลังด้วย ขณะที่ด้านหน้าจะเป็นโช้คแบบเทเลสโคปิกธรรมดา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่อย่างแฮนด์บาร์ก็จะเป็นแฮนด์แบบแฟลตธรรมดา และเบาะนั่งก็เป็นแบบชิ้นเดียวแบนราบแต่ออกแบบมาเพื่อให้นั่งได้สบาย ส่วนระบบไฟส่องสว่างนั้นตัวรถจะให้แบบ LED มาเต็มระบบเลย  สุดท้ายเจ้าสกูตเตอร์ไฟฟ้าคันนี้จะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลายปีนี้และทางแบรนด์เล็งว่าจะส่งมอบให้ทั่วโลกอาหรับได้ภายในปี 2025 นี้ ก็ถือว่าเป็นโมเดลที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ถ้าบ้านเรามีใครไปเจรจามาจำหน่ายในไทยได้ผมว่าพนักงานส่งของส่งอาหารต่าง ๆ ก็น่าจะได้ใช้รถดี ๆ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเรามากขึ้นแน่นอนครับ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Yamaha NEO's สกูตเตอร์ไฟฟ้า

Yamaha NEO’s สกูตเตอร์ไฟฟ้า ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษแล้วที่ยามาฮ่าได้เป็นผู้ผลิตที่ประสบความสำเร็จและได้รับความไว้วางใจ โดยเฉพาะตลาดรถสกูตเตอร์ขนาด 50 ซีซีในยุโรป แต่ในยุคปัจจุบันนี้นอกจากธุรกิจด้านเครื่องยนต์สันดาปภายในแล้ว ยามาฮ่ายังได้ทำการทุ่มเทวิจัยและพัฒนาสกูตเตอร์ไฟฟ้ามาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีเช่นกัน โดยพัฒนาและเปิดตัวมาหลากหลายโมเดลแล้ว โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย และในปี 2022 นี้ก็มีสกูตเตอร์ไฟฟ้าคันใหม่ล่าสุดคือ Yamaha Neo ที่เทียบเท่ากับสกูตเตอร์พิกัด 50 ซีซี โดยจะผลิตขึ้นขายเป็นจำนวนมากและวางจำหน่ายในยุโรปเป็นหลัก สำหรับเจ้านีโอที่ไม่ใช่ตัวเอกในหนังนั้น จะมาในดีไซน์ที่เรียบง่ายแบบมินิมอลแต่ก็มีสเน่ห์น่าดึงดูดโดดเด่นไม่เหมือนใคร ตัวรถมีขนาดกะทัดรัดและดีไซน์กลม ๆ มน ๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและง่ายที่จะขับขี่ไปไหนมาไหน ด้านหน้าตัวรถมีไฟหน้าคู่แบบ LED ดีไซน์สวยเข้ากันกับตัวรถ ขณะที่ตัวรถจะมียางบุรอบ ๆ ขับเน้นความโดดเด่นพร้อมกันนี้ยังใช้เป็นตัวป้องกันแฟริ่งของรถเวลารถล้มแปะหรือเฉี่ยวชนได้อีกด้วย และยังใช้ปกปิดตัวน็อตยึดต่าง ๆ ทำให้ตัวรถดูเรียบเนียนมากขึ้น มาถึงหัวใจสำคัญของนี้คือระบบ Yamaha Integrated Power Unit (YIPU) รุ่นที่ 2 ซึ่งก็คือตัวระบบขับเคลื่อน ซึ่งประกอบไปด้วยตัวมอเตอร์ไฟฟ้าแบบไม่ใช่แปรงถ่านระบายความร้อนที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยจะเป็นแบบไดเร็กไดร์ฟติดตั้งอยู่กับดุมล้อหลัง มีแรงบิดสูงเพื่อให้ขับขี่ได้นุ่มนวล เร่งความเร็วได้ทันใจ แต่ขณะเดียวกันก็เงียบแบบรถไฟฟ้า ซึ่งการใช้ระบบขับเคลื่อนแบบนี้ทำให้ไม่ต้องมีตัวส่งกำลัง ทำให้ไม่สูญเสียกำลังผ่านทางชุดเกียร์หรือสายพาน นอกจากนี้ยังลดเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นจากกลไกที่น้อยชิ้นกว่า ซึ่งยิ่งน้อยชิ้นก็ยิ่งทำให้ค่าบำรุงดูแลรักษาน้อยตามไปด้วย และยังรวมไปถึงระบบเบรกหลังอีกด้วย และในสวิงอาร์มเดี่ยว ตัวควบคุมมอเตอร์ MCU ที่คอยควบคุมพละกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าขณะเดียวกันก็มีดีไซน์ที่สะดวกต่อการถอดล้ออกมาเพื่อเปลี่ยนยางด้วยการขันน็อตออกเพียง 5 ตัวเท่านั้น สำหรับสิ่งสำคัญต่อมาคือแบตเตอรี่ ตัวรถจะใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนน้ำหนักเพียง 8 กก. ติดตั้งอยู่ใต้เบาะบริเวณกลางตัวรถ แรงดัน 50.4 โวลต์ ขนาด 19.2 แอมป์ชั่วโมง ที่ทางยามาฮ่าพัฒนาและผลิตขึ้นเอง เพียงพอสำหรับการใช้งานได้ราว ๆ 37 กม. (จากการทดสอบตามมาตรฐาน WMTC Class 1 โหมด STD และอุณหภูมิแบตฯ ที่ 25 องศา) แต่ยังสามารถติดตั้งตัวคอนเน็กเตอร์เพื่อใช้งานแบตเตอรี่เสริมลูกที่ 2 ที่ช่วยเพิ่มระยะทางการใช้งานได้ไปจนถึงประมาณ 68 กม. ส่วนการชาร์จนั้นสามารถถอดแบตเตอรี่ไปชาร์จได้ หรือจะชาร์จด้วยที่ชาร์จแบบพกพาที่สามารถเสียบกับปลั๊กไฟบ้านได้เลย โดยใช้เวลาชาร์จราว ๆ 8 ชม. ถึงจะเต็ม นอกจากนี้ตัวรถจะมีระบบควบคุมตัวรถและระบบควบคุมมอเตอร์ที่ออกแบบมาให้รีดสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาให้ได้ดีที่สุดพร้อมกับใช้งานแบตเตอรี่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้นว่าจะจ่ายพลังงานยังไง เช่น หากแบตเตอรี่ใกล้หมดก็จะมีการควบคุมกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแสดงไอคอนรูปเต่าขึ้นเตือนที่หน้าจอ หากว่ามีแบตเตอรี่ลูกที่ 2 ก็จะสลับไปใช้งานลูกที่สองแทน เป็นต้น ตัวรถขับขี่ได้ง่ายเร่งได้ไวทันใจ เพราะไม่มีระบบคลัตช์หรือระบบเกียร์ ทำให้ง่ายต่อการขับขี่ ขณะเดียวกันคันเร่งก็ออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สามารถควบคุมกะเกณฑ์ได้อย่างแม่นยำ ไม่กรรโชกโฮกฮาก ทั้งยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานตามสถานการณ์การขับขี่ 2 โหมด ได้แก่ STD โหมดที่ให้กำลังสูงสุดที่ 2.06 กิโลวัตต์ (2.76 แรงม้า) ที่ความเร็ว 40 กม./ชม. เหมาะกับการขับขี่ทั่วไป และโหมด ECO ที่มุ่งเน้นการประหยัดแบตเตอรี่ เหมาะกับการขับขี่ทางไกล โดยกำลังจะถูกตอนลงมาเหลือที่ 1.58 กิโลวัตต์ (2.11 แรงม้า) ที่ความเร็ว 30 กม./ชม. และจำกัดท็อปสปีดไม่เกิน 35 กม./ชม. ซึ่งโหมดนี้จะวิ่งได้ไกลถึงประมาณ 38.5 กม. ส่วนของแชสซีและช่วงล่าง ยามาฮ่าได้ดีไซน์แชสซีขึ้นมาใหม่หมดสำหรับโมเดลนี้ โดยใช้เฟรมที่แข็งแรงทนทานเพียงพอที่จะรอบรับน้ำหนักโหลดต่าง ๆ ไปจนถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น กล่องท้าย เป็นต้น ส่วนโช้คหน้าจะเป็นของ KYB ที่กระบอกด้านในเคลือบนิกเกิลเพื่อเพิ่มความทนทานต่อการผุกร่อน ขณะที่โช้คหลังจะเป็นโช้คเดี่ยว ขณะที่ระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหน้า ส่วนด้านหลังยังคงเป็นแค่เพียงดรัมเบรก แต่ก็เพียงพอกับโมเดลนี้อยู่แล้ว ส่วนล้อเป็นล้อขนาด 13 นิ้วสีดำแบบ 10 ก้านน้ำหนักเบาพร้อมรัดด้วยยางพิเศษที่ออกแบบมาให้มีแรงต้านการหมุนของล้อต่ำช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่นั่นเอง สำหรับเทคโนโลยีและลูกเล่นอื่น ๆ ก็ถือว่าทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อรถเข้ากับสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชัน Yamaha MyRide เพื่อรับการแจ้งเตือนสายเรียกเข้าและข้อความจากสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังใช้แอพฯ ดูข้อมูลตัวรถ แบตเตอรี่ ความเร็ว อัตราเร่ง หรือเส้นทางต่าง ๆ หรือจะแชร์ข้อมูลให้กับคนอื่น ๆ ที่ใช้แอพฯ เหมือนกันได้อีกด้วย ในส่วนหน้าจอแสดงผลที่ตัวรถจะเป็นหน้าจอ LCD แสดงผลข้อมูลต่าง ๆ ไปจนถึงระดับไฟของแบตเตอรี่ เป็นต้น และยังมีระบบสมาร์ทคีย์หรือกุญแจแบบคีย์เลสช่วยให้ใช้งานรถได้สะดวกสบายไม่ต้องเสียบกุญแจ แค่พกไว้ที่ตัวก็สามารถใช้งานรถได้ และแน่นอนสำหรับสกูตเตอร์เรื่องใต้เบาะถือเป็นจุดเด่น ๆ ของรถประเภทนี้ โดยมีช่องเก็บของใต้เบาะขนาด 27

Yamaha EMF 2022

Yamaha EMF สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสุดล้ำจากไต้หวัน ก็ถือว่าเป็นเทรนด์ของโลกยุคนี้เลยก็ว่าได้กับยานยนต์ไฟฟ้า และสำหรับดินแดนที่นิยมรถสกู๊ตเตอร์เป็นอย่างมากอย่างไต้หวันก็ตามกระแสนี้กับเขาด้วย โดยยามาไต้หวันเองก็ได้ทำการเปิดตัวโมเดลสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสุดล้ำ อย่างเจ้า Yamaha EMF ไม่ใช่ IMF นะครับ สำหรับเจ้าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจากไต้หวันคันนี้ก็มีดีไซน์ที่เรียกว่าล้ำสมัยมาก ๆ ตลอดทั้งคันเลยทีเดียว ดีไซน์ตัวรถออกมาในคอนเซ็ปต์ของยานยนต์ในอนาคต โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ไฟเลี้ยวแบบแยกส่วนแต่ยังอยู่ในส่วนของแฟริ่ง  และไฟท้ายเป็นชั้น ๆ ให้ภาพลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยวล้ำสมัย ตัวรถใช้หน้าจอเรือนไมล์ดิจิทัลแบบ LED แบ็กไลท์  แสดงผลข้อมูลสำคัญ ๆ ครบถ้วน เช่น ความเร็ว ระยะทาง โหมดการขับขี่ และแบตเตอรี่ เป็นต้น มีช่องเก็บของบริเวณตรงกลางระหว่างที่วางเท้าของผู้ขับขี่ดูแปลกตาไม่น้อยเลยทีเดียว สามารถใส่ของเล็ก ๆ อย่างเช่น แก้วน้ำ หรือขวดน้ำได้ ปิดท้ายความล้ำสุด ๆ คือการที่มันไม่ใช้ทั้งกุญแจหรือสมาร์ทคีย์ แต่ใช้เทคโนโลยี NFC Card เป็นเหมือนคีย์การ์ดเพื่อเปิดปิดสวิตช์รถแทน ซึ่งสะดวกต่อการพกพามาก ๆ   ส่วนขุมพลังขับเคลื่อนจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าวางกลางตัวรถที่ให้กำลัง 7.6 กิโลวัตต์ และส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยระบบโซ่ คำนวณเป็นแรงม้าได้ 10.3 แรงม้าที่ 3,000 รอบ และแรงบิดที่ 26 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบ ซึ่งทางค่ายเคลมมาว่าสามารถเร่งความเร็วจาก 0-50 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.5 วินาทีเท่านั้น แต่ยังไม่มีการระบุถึงความเร็วสูงสุดแต่อย่างไร แม้ว่าจะไม่ได้ระบุระยะการใช้งานมาว่าจะใช้งานได้กี่กิโลเมตร แต่ตัวรถจะใช้แบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้ของทาง Gogoro ที่เป็นผู้ให้บริการแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนรายใหญ่ของทางไต้หวัน กล่าวได้ว่าถ้าขับขี่ในเขตพื้นที่ให้บริการแล้วล่ะก็จะไม่ต้องเสียเวลาชาร์จ และหายห่วงเรื่องระยะทางไปได้พอสมควร แชสซีของรถจะใช้เฟรมที่ออกแบบขึ้นมาใหม่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรง มีระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นโช้คแบบเทเลสโคปิก และโช้คหลังคู่พร้อมสวิงอาร์ม ส่วนระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมกับระบบคอมบายเบรก และสุดท้ายสำหรับช่วงล่างคือล้อจะเป็รล้ออลูมิเนียมอัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 10 นิ้วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สุดท้ายนี้ตัวรถสุดล้ำคันนี้จะวางจำหน่าย 3 เฉดสีด้วยกันได้แก่ สีน้ำเงิน สีดำ และสีเขียว ส่วนเรื่องวางจำหน่ายในไทยนั้นน่าจะเป็นไปได้ยากครับ แต่ก็เรียกได้ว่าน่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะครับ อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Yamaha คลิก อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

ราคาและสเปครถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!