SuperBikeMag.Com ข่าวมอเตอร์ไซค์ รีวิวมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์

Turbocharger vs Supercharger
ทำไมถึงไม่มีในรถแข่ง MotoGP ?

ขั้นตอนแรกเรามารู้จักกับเจ้า Turbocharger vs Supercharger กันก่อน..
Turbocharger และ Supercharger เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มกำลังแรงม้าให้เครื่องยนต์ด้วยการบีบอัดอากาศที่เข้าสู่ห้องเผาไหม้ (Forced Induction) แต่ทั้งสองสิ่งเหล่านี้มีข้อดี ข้อเสีย และการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

Turbocharger vs Supercharger: ความแตกต่างและการทำงาน

Turbocharger vs Supercharger

ลักษณะ Turbocharger Supercharger
การตอบสนอง มี Turbo Lag (ล่าช้าเล็กน้อย) ไม่มี Lag ตอบสนองทันที
แรงม้าที่ใช้ ใช้แรงดันจากไอเสีย  ใช้กำลังขับจากเครื่องยนต์
(สายพาน)
กำลังที่เพิ่ม กำลังเครื่องเพิ่มที่รอบเครื่องสูง เพิ่มขึ้นทันที
ข้อดี ใช้แรงดันจากไอเสียทำให้ประหยัดแรงม้า เพิ่มประสิทธิภาพการเผาใหม้เชื้อเพลิง ให้กำลังเครื่องที่ต่อเนื่องและทันทีเมื่อเร่งเครื่องยนต์
ข้อเสีย มี Turbo Lag ซึ่งเกิดจากความล่าช้าก่อนที่เทอร์โบจะหมุนได้เร็วพอที่

ต้องพึ่งระบบระบายความร้อนหรือขยายให้ใหญ่ขึ้น เพราะเทอร์โบทำงานในอุณหภูมิสูงจากไอเสีย

ใช้กำลังจากเครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์อาจจะลดลง

การติดตั้งซับซ้อน เพิ่มการสึกหรอของเครื่องยนต์

ประสิทธิภาพและการใช้งาน เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นแรงม้าในรอบเครื่องยนต์สูง เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นความตอบสนองทันที

การใช้ Forced Induction ในประวัติศาสตร์การแข่งมอเตอร์ไซค์
ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ในยุคก่อนสงครามโลก

  • ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ได้รับความนิยมในสนามแข่ง ตัวอย่างเช่น:
    • BMW Type 255 Kompressor: มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น ด้วยน้ำหนักเบาและสมรรถนะที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
    • Gilera 500cc Supercharged: อีกหนึ่งตัวอย่างที่โดดเด่นในยุคเดียวกัน

เทอร์โบชาร์จเจอร์ในช่วงปี 1970-1980

  • ในช่วงปลายปี 1970 และ 1980 มีการทดลองใช้เทอร์โบในมอเตอร์ไซค์สำหรับถนนและการแข่ง ตัวอย่างเช่น:
    • Suzuki XN85: มอเตอร์ไซค์โปรดักท์ชันที่ใช้เทอร์โบ ซึ่งบางครั้งถูกดัดแปลงเพื่อใช้ในสนามแข่ง
    • Honda CX500 Turbo: แม้จะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เน้นถนน แต่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทอร์โบในการเพิ่มกำลัง

ระบบ Forced Induction ในปัจจุบัน

ในยุคปัจจุบัน มอเตอร์ไซค์ซีรี่ย์ Kawasaki H2 และ H2R ที่ใช้ซูเปอร์ชาร์จเจอร์เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการกลับมาใช้ Forced Induction แต่รถเหล่านี้ไม่ได้รับการออกแบบสำหรับ MotoGP หรือ WorldSBK เนื่องจากเน้นสมรรถนะในลักษณะไฮเปอร์ไบค์มากกว่า

ซึ่งทั้ง Turbocharger –  Supercharger โดยรวม ก็มีข้อดีมากกว่า ข้อเสีย แต่ทำไมรถแข่งแนว Circuit หรือ Superbike รวมถึง MotoGP กลับไม่มี

MotoGP และ WorldSBK

1. ข้อกำหนดทางกฎระเบียบ

  • ใน MotoGP การใช้ระบบเทอร์โบถูกห้ามโดยกฎระเบียบ เนื่องจากเน้นการพัฒนาทักษะนักแข่งและสมดุลการออกแบบตัวรถ
  • สำหรับ WorldSBK ซึ่งอิงจากรถโปรดักชัน การนำเทอร์โบมาใช้ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการ Homologation ซึ่งซับซ้อนและไม่สอดคล้องกับโมเดลรถปัจจุบัน

2. การควบคุมแรงม้าและ “Turbo Lag”

  • เทอร์โบเพิ่มแรงม้าให้เครื่องยนต์โดยการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ แต่เทอร์โบต้องการเวลาในการหมุนให้ถึงความเร็วสูงสุด จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Turbo Lag”
  • Turbo Lag คือความล่าช้าของการตอบสนองของเครื่องยนต์ขณะรอให้เทอร์โบเพิ่มแรงดันอากาศ ส่งผลให้การส่งแรงม้าไม่ต่อเนื่องและยากต่อการควบคุม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการการตอบสนองฉับไว เช่น การออกจากโค้งในสนามแข่ง

Turbocharger vs Supercharger

Turbo Lag คืออะไร และทำงานอย่างไร?

เทอร์โบทำงานโดยใช้ก๊าซไอเสียจากเครื่องยนต์ไปหมุนใบพัดในเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งจะดึงอากาศเข้าไปอัดในห้องเผาไหม้เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ขับขี่เปิดคันเร่ง ก๊าซไอเสียที่ส่งไปยังเทอร์โบอาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ใบพัดหมุนด้วยความเร็วสูงสุดในทันที ทำให้การเพิ่มพลังเกิดความล่าช้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Turbo Lag

ดูๆแล้วระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ลดข้อเสียนี้ได้บางส่วนเพราะขับเคลื่อนด้วยสายพานจากเครื่องยนต์และสามารถเพิ่มแรงม้าได้ตังแต่รอบต่ำ แต่ด้วยอุปกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ตามด้วยน้ำหนัก ทำให้การเลี้ยวทำได้ยาก  

Turbocharger vs Supercharger

3. การจัดการความร้อนและน้ำหนัก

  • ระบบเทอร์โบเพิ่มความร้อนอย่างมากและต้องการระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน เช่น อินเตอร์คูลเลอร์และหม้อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเพิ่มน้ำหนักและลดความคล่องตัวของรถ

4. ต้นทุนและความซับซ้อน

  • การพัฒนาและบำรุงรักษาเครื่องยนต์เทอร์โบมีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลกระทบต่อทีมแข่งในแง่ของงบประมาณ

ในการแข่งขันจริง แรงม้าที่เพิ่มขึ้นเฉียบพลัน จากการทำงานของเทอร์โบ หรือ ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ จะสร้างความอันตรายให้กับผู้ขับขี่ ขณะที่เร่งตอนออกโค้ง เพราะกำลังแรงม้าที่ออกมารุนแรงทันที บนพื้นที่ยึดเกาะของยางที่เล็กเท่าเหรียญสิบบาท อาจไม่เพียงพอ และส่งผลให้เสียกการควมคุม ซึ่งถ้าจะมีจริง ก็ต้องมีระบบอิเล็กโทรนิค กล่องควบคุมต่างๆ เพิ่มขึ้น

สรุปง่ายว่า Turbocharger vs Supercharger ในรถ circuit คือ อย่าหาทำ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Moss SuperBike

จากความหลงไหลในความเร็ว สู่วงการสองล้อ เพราะมันคือ เสน่ห์ที่มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บทความยอดนิยม

ข่าวล่าสุด

Turbocharger vs Supercharger ทำไมถึงไม่มีในรถแข่ง MotoGP ?

Turbocharger vs Supercharger
ทำไมถึงไม่มีในรถแข่ง MotoGP ?

ขั้นตอนแรกเรามารู้จักกับเจ้า Turbocharger vs Supercharger กันก่อน..
Turbocharger และ Supercharger เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มกำลังแรงม้าให้เครื่องยนต์ด้วยการบีบอัดอากาศที่เข้าสู่ห้องเผาไหม้ (Forced Induction) แต่ทั้งสองสิ่งเหล่านี้มีข้อดี ข้อเสีย และการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

Turbocharger vs Supercharger: ความแตกต่างและการทำงาน

Turbocharger vs Supercharger

ลักษณะ Turbocharger Supercharger
การตอบสนอง มี Turbo Lag (ล่าช้าเล็กน้อย) ไม่มี Lag ตอบสนองทันที
แรงม้าที่ใช้ ใช้แรงดันจากไอเสีย  ใช้กำลังขับจากเครื่องยนต์
(สายพาน)
กำลังที่เพิ่ม กำลังเครื่องเพิ่มที่รอบเครื่องสูง เพิ่มขึ้นทันที
ข้อดี ใช้แรงดันจากไอเสียทำให้ประหยัดแรงม้า เพิ่มประสิทธิภาพการเผาใหม้เชื้อเพลิง ให้กำลังเครื่องที่ต่อเนื่องและทันทีเมื่อเร่งเครื่องยนต์
ข้อเสีย มี Turbo Lag ซึ่งเกิดจากความล่าช้าก่อนที่เทอร์โบจะหมุนได้เร็วพอที่

ต้องพึ่งระบบระบายความร้อนหรือขยายให้ใหญ่ขึ้น เพราะเทอร์โบทำงานในอุณหภูมิสูงจากไอเสีย

ใช้กำลังจากเครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องยนต์อาจจะลดลง

การติดตั้งซับซ้อน เพิ่มการสึกหรอของเครื่องยนต์

ประสิทธิภาพและการใช้งาน เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นแรงม้าในรอบเครื่องยนต์สูง เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นความตอบสนองทันที

การใช้ Forced Induction ในประวัติศาสตร์การแข่งมอเตอร์ไซค์
ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ในยุคก่อนสงครามโลก

  • ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ได้รับความนิยมในสนามแข่ง ตัวอย่างเช่น:
    • BMW Type 255 Kompressor: มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น ด้วยน้ำหนักเบาและสมรรถนะที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
    • Gilera 500cc Supercharged: อีกหนึ่งตัวอย่างที่โดดเด่นในยุคเดียวกัน

เทอร์โบชาร์จเจอร์ในช่วงปี 1970-1980

  • ในช่วงปลายปี 1970 และ 1980 มีการทดลองใช้เทอร์โบในมอเตอร์ไซค์สำหรับถนนและการแข่ง ตัวอย่างเช่น:
    • Suzuki XN85: มอเตอร์ไซค์โปรดักท์ชันที่ใช้เทอร์โบ ซึ่งบางครั้งถูกดัดแปลงเพื่อใช้ในสนามแข่ง
    • Honda CX500 Turbo: แม้จะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เน้นถนน แต่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทอร์โบในการเพิ่มกำลัง

ระบบ Forced Induction ในปัจจุบัน

ในยุคปัจจุบัน มอเตอร์ไซค์ซีรี่ย์ Kawasaki H2 และ H2R ที่ใช้ซูเปอร์ชาร์จเจอร์เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการกลับมาใช้ Forced Induction แต่รถเหล่านี้ไม่ได้รับการออกแบบสำหรับ MotoGP หรือ WorldSBK เนื่องจากเน้นสมรรถนะในลักษณะไฮเปอร์ไบค์มากกว่า

ซึ่งทั้ง Turbocharger –  Supercharger โดยรวม ก็มีข้อดีมากกว่า ข้อเสีย แต่ทำไมรถแข่งแนว Circuit หรือ Superbike รวมถึง MotoGP กลับไม่มี

MotoGP และ WorldSBK

1. ข้อกำหนดทางกฎระเบียบ

  • ใน MotoGP การใช้ระบบเทอร์โบถูกห้ามโดยกฎระเบียบ เนื่องจากเน้นการพัฒนาทักษะนักแข่งและสมดุลการออกแบบตัวรถ
  • สำหรับ WorldSBK ซึ่งอิงจากรถโปรดักชัน การนำเทอร์โบมาใช้ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการ Homologation ซึ่งซับซ้อนและไม่สอดคล้องกับโมเดลรถปัจจุบัน

2. การควบคุมแรงม้าและ “Turbo Lag”

  • เทอร์โบเพิ่มแรงม้าให้เครื่องยนต์โดยการอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ แต่เทอร์โบต้องการเวลาในการหมุนให้ถึงความเร็วสูงสุด จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Turbo Lag”
  • Turbo Lag คือความล่าช้าของการตอบสนองของเครื่องยนต์ขณะรอให้เทอร์โบเพิ่มแรงดันอากาศ ส่งผลให้การส่งแรงม้าไม่ต่อเนื่องและยากต่อการควบคุม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการการตอบสนองฉับไว เช่น การออกจากโค้งในสนามแข่ง

Turbocharger vs Supercharger

Turbo Lag คืออะไร และทำงานอย่างไร?

เทอร์โบทำงานโดยใช้ก๊าซไอเสียจากเครื่องยนต์ไปหมุนใบพัดในเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งจะดึงอากาศเข้าไปอัดในห้องเผาไหม้เพื่อเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ขับขี่เปิดคันเร่ง ก๊าซไอเสียที่ส่งไปยังเทอร์โบอาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ใบพัดหมุนด้วยความเร็วสูงสุดในทันที ทำให้การเพิ่มพลังเกิดความล่าช้า นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Turbo Lag

ดูๆแล้วระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ลดข้อเสียนี้ได้บางส่วนเพราะขับเคลื่อนด้วยสายพานจากเครื่องยนต์และสามารถเพิ่มแรงม้าได้ตังแต่รอบต่ำ แต่ด้วยอุปกรณ์ที่เพิ่มมากขึ้น ตามด้วยน้ำหนัก ทำให้การเลี้ยวทำได้ยาก  

Turbocharger vs Supercharger

3. การจัดการความร้อนและน้ำหนัก

  • ระบบเทอร์โบเพิ่มความร้อนอย่างมากและต้องการระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อน เช่น อินเตอร์คูลเลอร์และหม้อน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเพิ่มน้ำหนักและลดความคล่องตัวของรถ

4. ต้นทุนและความซับซ้อน

  • การพัฒนาและบำรุงรักษาเครื่องยนต์เทอร์โบมีค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลกระทบต่อทีมแข่งในแง่ของงบประมาณ

ในการแข่งขันจริง แรงม้าที่เพิ่มขึ้นเฉียบพลัน จากการทำงานของเทอร์โบ หรือ ซูเปอร์ชาร์จเจอร์ จะสร้างความอันตรายให้กับผู้ขับขี่ ขณะที่เร่งตอนออกโค้ง เพราะกำลังแรงม้าที่ออกมารุนแรงทันที บนพื้นที่ยึดเกาะของยางที่เล็กเท่าเหรียญสิบบาท อาจไม่เพียงพอ และส่งผลให้เสียกการควมคุม ซึ่งถ้าจะมีจริง ก็ต้องมีระบบอิเล็กโทรนิค กล่องควบคุมต่างๆ เพิ่มขึ้น

สรุปง่ายว่า Turbocharger vs Supercharger ในรถ circuit คือ อย่าหาทำ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Share It:

Moss SuperBike

จากความหลงไหลในความเร็ว สู่วงการสองล้อ เพราะมันคือ เสน่ห์ที่มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

ข่าวล่าสุด

บทความยอดนิยม

Superbike Mag Thailand