เลี้ยวไม่คม พัดลมช่วยได้ ด้วยเทคโนโลยีรุ่นใหม่จาก BMW เอาจริงดิ.. BMW เตรียมติดพัดลมช่วยเลี้ยว !! ให้กับรถบิ๊กไบค์ สายบิดสิงห์สนามคงเฮเพราะไม่ต้องกังวลเครื่องพังในโค้งอีกต่อไป..พัดลมจะช่วยเป่าให้รถเลี้ยวเอง..เป็นยังไงหล่ะ ไฮเทคสุด ๆ ! คงไม่มีอะไรหยุดยั้งความคิดหรือจินตนาการอันล้ำลึกในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในวงการสองล้อก็เช่นกัน หลังจากที่ช่วงหลัง ๆ รถบิ๊กไบค์แข่งกันงอกปีก งอกครีบ ใส่โน้นนี่นั่นจนกลายเป็นโมโนบอทที่เพียงอาศัยคนมานั่งเฉย ๆ เดี๋ยวรถจัดการให้ทุกอย่างเองไปซะแล้ว และล่าสุดทางค่ายใบพัดสีฟ้าเตรียมที่จะส่งไม้เด็ดใหม่สู่วงการกับ “พัดลมช่วยเลี้ยว” ใช่ครับ..คุณอ่านไม่ผิด พัดลมจริง ๆ ที่ไม่ใช่พัดลมในบ้านไว้ดับคลายร้อน แต่เป็นพัดลมที่ช่วยให้รถเลี้ยวได้ไวขึ้น เร็วขึ้นและเท่ขึ้น จาก “ครีบปีก” สู่ “พลังลมเป่า” จากเทคโนโลยีแอโรไดนามิกใน F1 ที่ปรับมาใช้ในยุคสองล้อ และก็มีค่ายรถเพียงค่ายเดียวที่สามารถพัฒนาไปได้ไกลอย่างโดดเด่น (ตอนนี้ครองยุค MotoGP อยู่) เพราะเหตุนี้ทางค่ายใบพัดจึงมองว่า แค่นี้..มันไม่พอหรอก มีแค่ปีกมันธรรมดาไป ฉะนั้นต้องมีแรงดันลม มาช่วยเสริมเพอร์ฟอร์แมนซ์การขับขี่ให้โหดขึ้นไปอีกเท่า ระบบนี้ทำงานอย่างไร ? โดยข้อมูลแบบร่างเผยถึงรายละเอียดบางส่วนซึ่งให้เห็นภาพง่าย ๆ ทางค่ายได้ออกแบบเจ้าระบบรุ่นนี้โดยใช้พัดลมไฟฟ้าแรงดันสูงที่ติดอยู่ภายในตัวรถ เป็นลักษณะท่อลมปล่อยออกผ่านหัวฉีดลมตามจุดต่าง ๆ ของตัวรถ ซึ่งออกแบบทิศทางลมให้สามารถเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ดังนี้ เร่งเครื่องทางตรง : ลมเป่าไปด้านหลัง เพิ่มความแรงแบบ Jet Mode เบรกแรง : ลมเป่าไปด้านหน้า สร้างแรงต้านอากาศและลดแรงเฉื่อย เข้าโค้ง : ลมเป่าออกด้านข้าง ดันให้รถหมุนหรือเอียงได้ไวขึ้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่ระบบเป่าตามใจชอบของคนขี่ เผื่อมือพลั้งพลาดไปปรับมั่วซั่วอาจทำให้เสียโอกาสได้เปรียบในสนามหรือเกิดอุบัติเหตุเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นทางค่ายจึงตั้งใจออกแบบเจ้าระบบนี้ให้มันเป่าแบบ “มีสติ” ซึ่งระบบดังกล่าวจะถูกควบคุมโดยระบบคอมที่เชื่อมกับ IMU วัดองศาหรือลักษณะท่าทางการขี่จากตัวเซ็นเซอร์นั่นเอง แล้วจะใส่กับรถรุ่นอะไร ? จากภาพในพิมพ์เขียวก็พอรู้หล่ะว่าเป็นรุ่นอะไร (ฮ่าๆ) ซึ่งอาจจะเริ่มด้วยสายสปอร์ตไลน์ไฮโซกระเป๋าหนักอย่างเจ้า S1000RR หรือ M1000RR แน่นอน ให้ลองนึกภาพตอนขี่เข้าโค้งแล้วจู่ ๆ ก็มีลมเป่า ฟิ้ววว ออกมาจากแฟริ่งด้านข้าง หรือถ้าแรงดันอัดอั้นหนักหน่อยอาจจะเป็นเสียง แพร๊ดด ที่เราคุ้นหูอยู่ทุกวันก็เป็นไปได้ จากการคาดเดาถึงประโยชน์และความเป็นไปได้ของเจ้าระบบรุ่นนี้ถือว่ายังต้องศึกษาในอีกหลาย ๆ จุดทีเดียวว่าจะมีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ทั้งในเรื่องของต้นทุน น้ำหนัก บวกกับระยะเวลาในการทดสอบ แต่อย่างไรก็ดีถือว่ามีความคืบหน้าไม่มากก็น้อย วันนี้คุณอาจจะขี่รถที่มีวิงก์เล็ต แทร็คชัน หรือ IMU แต่พรุ่งนี้อาจได้ขี่รถที่มีระบบเป่าลมที่ช่วยให้คุณเป็นนักซิ่งมือใหม่โดยไม่รู้ตัว.. อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
ฟรานโก้ โมบิเดลี ยืดอกขอโทษ เหตุดราม่าสนามมูเจลโล ฟรานโก้ โมบิเดลี นักแข่งจอมเก๋าจากทีม Pertamina Enduro VR46 Racing Team ที่ออกมาขอโทษนักแข่งหนึ่งรายจากค่ายไร่ส้ม ที่เจ้าตัวนั้นเป็นเหตุทำให้นักแข่งคนดังกล่าวต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย ในการแข่งขันสนามที่ 9 ของฤดูกาล กับรายการ Brembo Grand Prix of Italy 2025 ในช่วงระหว่างวันที่ 20-22 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งในการแข่งขันในรอบเรซเดย์ ‘แฟรงกี้’ ต้องโทษการวิ่ง Long Lap เหตุจากการที่พยายามแซงมาเวริค บีญาเลส นักบิดจากทีม Tech3 KTM แต่ไม่สำเร็จจนเกิดเหตุการณ์ปะทะกันของนักแข่งทั้งสองคน ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่บีญาเลสเพิ่งแซงมอร์บิเดลลี่ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 โดยมอร์บิเดลลี่พยายามสวนกลับเข้าโค้งด้านใน แต่บีญาเลสไม่ทันเห็นการบุกจู่โจม ทำให้ทั้งสองชนกัน และบีญาเลสล้มลงจนทำให้ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย “ผมพอใจกับความเร็วของเรา เราทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้” “ผมพยายามจัดการยางให้ดีที่สุด แต่ผมพลาดที่โค้ง 1 แล้วผมเข้าไปมีปะทะกับมาเวริค ตอนที่เรากำลังแย่งชิงตำแหน่งกัน เราชนกัน และเขาก็ล้มลงไป” “ขอโทษจริง ๆ สำหรับเรื่องนั้น เสียดายมากเลยครับ ผมดีใจที่เขาไม่บาดเจ็บ เพราะคุณก็รู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เขาปลอดภัยดีแล้ว” “ผมต้องชดใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้น – ต้องขี่รอบยาวหนึ่งครั้ง แล้วก็พลาดอีกครั้ง ทำให้ต้องขี่รอบยาวเพิ่มอีกหนึ่งรอบ หลังจากนั้นผมก็แค่พยายามทำให้ดีที่สุด ซึ่งก็คือจบที่อันดับ 6” ทางด้านของเจ้าทุกข์ผู้ถูกกระทำอย่าง ‘ท็อปกัน’ มาเวอริค บีญาเลส แม้ในช่วงการแข่งขันจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ตัวเขานั้นต้องออกจากการแข่งขันด้วยอุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิด แต่ก็ยอมรับคำขอโทษ และเข้าใจว่าเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่มีใครอยากให้เกิด “เขาขอโทษแล้ว ผมก็ยอมรับ มันคือการแข่งขัน พวกเราเป็นนักแข่ง บางครั้งมันก็เป็นใจให้คุณ บางครั้งมันก็ไม่ใช่” “สำหรับผม การแข่งขันก็เป็นแบบนี้แหละ เมื่อคุณกำลังต่อสู้อยู่ในกลุ่มหน้า แล้วเหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น คุณก็ต้องก้าวต่อไป” “แต่สิ่งที่ดีคือ เรามีความเร็วที่ยอดเยี่ยม และระดับการแข่งขันของเราก็อยู่ในจุดที่ดีแล้ว” โมบิเดลี และมาเวอริค บีญาเลส จะลงทำการแข่งขันในสนามที่ 10 ของฤดูกาล กับรายการ Motul Grand Prix of the Netherlands ที่สนาม TT Circuit Assen ในช่วงระหว่างวันที่ 27-29 มิถุนายนนี้ อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
GRR by XTR Pepo สุดยอด Race Replica แปลงมาจากรถรุ่นนี้? ลองทายซิ๊ว่ารถรุ่นนี้..มาจากพื้นฐานรถรุ่นอะไร ? ทดสอบเกร็ดความรู้เล็กกันซักเล็กน้อยกับโมเดลคัสตอมสไตลเรโทรซูเปอร์โมโนรุ่นนี้ ผลงานชิ้นเอกโดยฝีมือจากการโมดิฟายของ Pepo Rosell ของสำนักแต่ง XTR Pepo อันชื่อดังในสเปนซึ่งอยู่เบื้องหลังการโมดิฟายรถดูคาติชื่อดังมาแล้วมากมาย ภายใต้โปรเจ็กต์สุดพิเศษกับ GRR by XTR Pepo จะมีอะไรน่าสนใจ ? (พร้อมเฉลยคำตอบ) จากโครงสร้างภายนอกของตัวแชสซีที่ดัดแปลงใหม่ทั้งหมด บวกกับชิ้นส่วนอกล่าง CNC พร้อมชุดหางปลา สายเบรก หรือแม้กระทั่งตัวจานเบรกใช้เฉดสี (แดง) เดียวกันทั้งหมด ประกอบกับงานบอดี้ตัวถังและการออกแบบดีไซน์ในแบบลักษณะของคาเฟ่เรเซอร์ในยุค 80 โดยการออกแบบแฟริ่งและชิ้นส่วนบอดี้ทั้งหมด มาจากความร่วมมือกับนักออกแบบ FUTURA 2000 และ Alberto Caimi ซึ่งโมเดลดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Pantah 821 Project ปี 2017 นั่นเอง โดยใช้ภาพสเก็ตต้นฉบับของ Pepo ผ่านกระบวนการ 3D โมเดลลิ่งสู่การทำแม่พิมพ์จริง รวมถึงเบาะชิ้นเดียวสไตล์เรซซิ่ง และเติมความเท่ด้วยท่อไทเทเนียมท่อ XPIPE ขนาด 45 มม. แบบเฉพาะทาง พร้อมปลายท่อไทเทเนียมครอบคาร์บอน ซึ่งดูรวม ๆ แล้ว นี่มันรถดูคาติชัด! ถ้าไม่นับเครื่องยนต์อ่านะ ช่วงล่างระดับสนามแข่ง ประดับเติมแต่งช่วงล่างด้วยโช้คอัพจาก Aprilia Falco 1000 แกน 43 มม. มีฟังก์ชันปรับรีบาวด์และคอมเพรสชันได้ ส่วนโช้คหลังเป็นรุ่น Nitron R1 สเปคพิเศษ สวิงอาร์มโมดิฟายจากรถรุ่น RS660 ใช้คาลิเปอร์จาก Discacciati เรเดียลเม้าท์ ชุด Brembo เบรกหลังและจานเบรกจาก NG ส่วนล้อเป็นของ DYMAG CH3A แบบ 3 ก้านคลาสสิกผลิตจากอลูมิเนียมฟอร์จ โมเดลทั้งหมดมาจากพื้นฐานของรถรุ่นนี้ ? เกือบนับว่าเป็นรถดูคาติไปซะแล้ว ถ้าไม่นับ “เครื่องยนต์” ซะก่อน ซึ่งเฉลยเลยก็คือเจ้า XTR Pepo รุ่นนี้ออกแบบมาจากพื้นฐานของรถ Royal Enfield Guerrilla 450 สแครมเบลอร์กองโจร 40 แรงม้าจากแดนภารตะนั่นเองครับ ไหน..มีใครถ่ายถูกบ้างไหมเอ่ย?? อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
Marc Marquez รับ เป้าตอนนี้คือแข่งกับน้องชาย ไม่ใช่แชมป์สมัยที่ 9 Marc Marquez นักบิดเจ้าของหมายเลข 93 จากทีมโรงงานคูคาติ ‘Ducati Lenovo Team’ ที่ในปัจจุบันตอนนี้เจ้าตัวเป็นเจ้าของแชมป์โลก 8 สมัย ซึ่งถ้าในฤดูกาลนี้เจ้าตัวสามารถซิวแชมป์โลก MotoGP ได้ก็จะมีจำนวนแชมป์ MotoGP เท่ากับวาเลนติโน่ รอสซี่ ที่ 9 สมัย ในตารางคะแนนแชมป์โลกของฤดูกาล 2025 หลังผ่านไป 8 สนามผู้นำตอนนี้ก็ยังคงเป็นมาร์ก มาร์เกซ ด้วยคะแนนสะสม 233 คะแนน ห่างจากอันดับที่ 2 ‘อเล็กซ์ มาร์เกซ’ ถึง 32 คะแนนหลังโชว์ฟอร์มสุดแกร่งในการแข่งขันที่อารากอน โดยสถานการณ์ในปัจจุบันมาร์กก็ยังคงเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์รายการนี้ ซึ่งถ้ามาร์กสามารถทำได้ก็จะทำให้เขามีจำนวนแชมป์รวมเท่ากับรอสซี่ และยังจะกลายเป็นนักแข่งที่ได้แชมป์กับสองแบรนด์ต่างกัน เช่นเดียวกับที่รอสซี่เคยทำไว้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็อาจจะไม่พ้นสื่อที่อยากจะสอบถามว่า ‘คิดถึงเรื่องของการเทียบ หรือแซงสถิติของรอสซี่หรือไม่’ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของแชมป์โลก 8 สมัยรายนี้ยังคงคิดว่าการกลับมาจากอาการบาดเจ็บรุนแรงได้ถือว่าเป็นเรื่องประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิตนักแข่งของเจ้าตัว “สำหรับผมแล้ว จะได้แชมป์โลกสมัยที่ 9 หรือไม่ได้ก็ตาม ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของผม ผมได้ผ่านมันมาแล้ว นั่นคือการกลับมาหลังจากช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาก” “ผมคิดว่าเรายกระดับการแข่งขันกันระหว่างผมกับอเล็กซ์ (มาร์เกซ) ขึ้นมาอีกนิด เพราะเราทั้งคู่กำลังผลักดันกันอย่างเต็มที่ และอเล็กซ์ก็กำลังอยู่ในปีที่ดีที่สุดของเขาในแชมเปี้ยนชิพนี้ด้วย” “เพราะฉะนั้น ผมผ่านความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาแล้ว ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง มีอาการบาดเจ็บ สไตล์การขี่ และบุคลิกที่ต่างกัน แต่ผมพอใจกับความท้าทายนั้น และตอนนี้ผมแค่สนุกกับมัน แน่นอนว่า ในฐานะนักบิดของดูคาติ ผมรู้สึกถึงแรงกดดัน และผมจะพยายามคว้าแชมป์ให้ได้ แต่บางทีมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘อยาก’ หรือ ‘พยายาม’ อย่างเดียวเสมอไป” ซึ่งอีกหนึ่งโจทย์ที่น่าสนใจของมาร์ก มาร์เกซกับการแข่งขันที่สนามมูเจลโลคือการหาวิธีปราบความร้อนแรงของทีมเมทอย่าง ‘ฟรานเชสโก้ บัญญาย่า’ ที่ดูเหมือนว่าการลงแข่งขันในสนามประเทศบ้านเกิดจะสามารถรีดฟอร์มเก่งออกมาได้อย่างน่าเร้าใจ โดยในการแข่งขันสามหนล่าสุดก็เป็นทางด้านเป้กโก้ที่สามารถคว้าชัยได้ทั้งหมด และด้านมาร์ก มาร์เกซ การคว้าชัยในสนามแห่งนี้ต้องกลับไปถึงปี 2014 “ผมจะพยายามเข้าใจให้ได้ในปีนี้” “ปีที่แล้วผมมีโอกาสเปรียบเทียบข้อมูลของเขาเล็กน้อย แต่ตอนนั้นรถยังต่างกันอยู่มาก ทำให้เลียนแบบได้ยาก” “ปีนี้เราจะพยายามเข้าใจให้ลึกยิ่งขึ้น และผมจะพยายามใช้ประโยชน์จากข้อมูลของเขา ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่รวมถึงอเล็กซ์ด้วย เพราะปกติทั้งสองคนนี้เร็วมากที่สนามนี้” Marc Marquez และทีมเมทของเจ้าตัวอย่างฟรานเชสโก้ บัญญาย่า จะลงแข่งขันในช่วงปลายสุดสัปดาห์นี้ ในการแข่งขันรายการ Brembo Grand Prix of Italy ในช่วงระหว่างวันที่ 20 – 22 มิถุนายนนี้ อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
ใครจะเป็นทีมเมท โทปรัค ในฤดูกาล 2026? เป็นประเด็น Topic เร่าร้อนซะแล้วของทาง Pramac Yamaha 2026 สำหรับการเข้าสู่รั้วนักบิดในสังกัดอย่าง “บังโต-โทปรัค” แชมป์โลก WorldSBK 2 สมัยในฤดูกาลหน้า แล้วคำถามคือ โทปรัค..จะมาแทนใคร ?? โดยปัจจุบันเก้าอี้ยังตกเป็นของสองนักบิดอย่าง Jack Miller และ Miguel Oliveira ซึ่งสัญญาของทั้งสองนั้นจะหมดลงหลังจบฤดูกาลนี้ โดยยังไม่มีข้อสรุปว่าทีมนั้นจะเลือกใครเป็นทีมเมทร่วมกับโทปรัคในฤดูกาลถัดไป โทปรัค : ใครจะมาขี่กับผมครับ ? จากการคาดการณ์ของหลายๆ ฝ่ายทั้งสื่อมวลชนรวมไปถึงแฟนๆมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก อาจชี้และให้เหตุผลว่าจะเป็นแจ๊ค มิลเลอร์บ้าง เพราะด้วยอายุเริ่มเยอะ การย้ายไปขี่ WSBK จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ดันเด็กใหม่ช่วยพัฒนาทีมต่อไปในอนาคต แต่บางส่วนก็คาดเดาว่าในฤดูกาลนี้ แจ๊ค มิลเลอร์ ทำผลงานได้ดีกว่า บวกกับประสบการณ์อันโชกโชนที่ผ่านตัวแข่งมาแล้วหลายค่าย ส่วนนี้จะพัฒนาทีมไปไกลได้มากกว่า รักทั้งคู่..แต่ของกั๊กไว้ก่อน จากข้อถกเถียงที่ยังไม่สามารถสรุปได้ แต่ล่าสุดมีข่าวสัมภาษณ์จากบอสใหญ่ของ Pramac Racing อย่าง Paolo Pavesio ยืนยันว่าสัญญาของ Miguel Oliveira ยังมี “ออปชันสำหรับปี 2026” อยู่ด้วย Pavesio กล่าวต่อว่า Yamaha ต้องการสนับสนุนทั้ง Oliveira และ Miller อย่างเต็มที่ และจะตัดสินใจหลังประเมินผลงานของทั้งคู่ “เรายังไม่รีบร้อน แต่ก็รู้ว่าจำเป็นต้องตัดสินใจก่อนช่วงเบรกฤดูร้อน เพราะมันสำคัญกับตัวนักแข่งเช่นกัน..ว่าจะเป็นใคร ก็จะได้รับประการณ์ที่ดีจากทั้งคู่” โดยผ่านการแข่งขันมาแล้ว 8 สนาม และผลคะแนนของทั้งสองในปัจจุบัน Jack Miller อยู่ในอันดับที่ 16 (31 คะแนน) ส่วน Oliveira นั้นอยูในอันดับ 23 (3 คะแนน) และคะแนนรวมทีมอยู่รั้งอันดับท้ายที่ 37 คะแนน ยังเหลืออีก 14 สนามที่คงต้องดูลุ้นพิสูจน์ผลงาน บวกกับปัจจัยภายในอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการปรับตัวเข้ากับทีมและข้อเสนอค่าตัว ซึ่งมีหลาย ๆ อย่างทีเดียวหล่ะครับ ถ้าเป็นคุณ..คุณจะเลือกใคร?? กดดันนักแข่่งล่ะทีนี้ (ฮ่าๆ) อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
5 เหตุผล ทำไมรถสกู๊ตเตอร์ถึงได้รับความนิยมในไทยขนาดนี้ !? ในประเทศไทยของเรา การเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยอย่าง ‘กรุงเทพมหานคร’ การมีมอเตอร์ไซค์คู่ใจไว้สำหรับใช้งานขับขี่ในชีวิตประจำวันบางทีเหมือนมีไพ่ลับอยู่ในมือ และในบทความนี้จะมาเล่าให้ฟังว่าทำไมมันถึงนิยมได้มากถึงขนาดนั้น ขี่ง่าย ไม่ต้องเข้าเกียร์ เริ่มกันที่เรื่องแรก แน่นอนว่าเหตุผลของการซื้อจักรยานยนต์ในกลุ่มสกู๊ตเตอร์ก็อาจจะมีเหตุผลหลัก ๆ ในการซื้อคือ ‘มันขี่ง่าย’ วัยเก๋าที่อาจจะมีรถเกียร์ กำคลัตซ์จนชำนาญแต่ก็เกิดอาการเบื่อ อยากแค่บิดเฉย ๆ และเพราะผู้ใช้งานบางคนก็อาจจะไม่ถนัดในการเข้าเกียร์ อาจจะเป็นมือใหม่ที่สามารถทำให้ขับขี่ได้ง่ายขึ้น ผู้หญิงก็ขี่คล่อง อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องออกตัวสะดุด หรือเครื่องดับกลางทาง ดีไซน์ทำถึง แถมความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ในปัจจุบันรถจักรยานยนต์ในกลุ่มสกูตเตอร์ก็มีการออกแบบมาในรูปแบบที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งานที่แทบจะครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสกู๊ตเตอร์ดีไซน์สปอร์ต ดีไซน์คลาสสิค หรือน่ารักหวาน ๆ เข้ากับวัยรุ่นก็มีให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย และอีกหนึ่งจุดเด่นของความน่าสนใจของรถกลุ่มนี้คือ ‘ความอเนกประสงค์’ เพราะชีวิตคือการเดินทาง คำนี้ไม่เกินจริง รถจักรยานยนต์หนึ่งคันแทบจะเป็นทุกอย่างสำหรับคนบางคน เป็นรถสำหรับหาเงิน สำหรับท่องเที่ยว ซึ่งการที่รถจักรยานยนต์หนึ่งคันจะมีช่องสำหรับเก็บของ เก็บสัมภาระได้เยอะ ๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันยังมีช่องสำหรับชาร์จไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบจะสิ่งพื้นฐานที่ติดตั้งมาพร้อมบนตัวรถก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รถกลุ่มนี้ได้รับความสนใจเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ขนาดเครื่องยนต์พอใช้งาน สกู๊ตเตอร์ในประเทศไทยมีขนาดเครื่องให้เลือกที่เรียกได้ว่า ‘ซอยถี่อย่างกับซอยต้นหอม’ เพราะในตลาดก็มีตั้งแต่ขนาดเครื่องยนต์ 110 ซีซี, 125 ซีซี, 160 ซีซี, 350 ซีซี หรือจะเป็นรุ่นใหญ่อย่าง 750 ซีซี แต่ในส่วนของรุ่นใหญ่อย่าง 350 ซีซี และขนาดเครื่องยนต์ 750 ซีซีจะขอไม่ไปแตะต้องเพราะสองรุ่นสุดท้ายนี่เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพล้วน ๆ เพราะการจะนำรถสักคันไปใช้แค่ในชีวิตประจำวันก็อาจจะไม่ต้องหวือหวามากนัก และในกลุ่มเครื่องยนต์ไม่เกิน 160 ซีซีก็ถือว่าเป็นขนาดเครื่องยนต์ที่เหมาะสม และน่าสนใจ ซึ่งเหตุผลในอันดับต้น ๆ คือน้ำหนักเบา ขับขี่ง่าย และเหมาะกับการใช้งานภายในเมือง อีกทั้งยังพ่วงมาด้วยค่าดูแลบำรุงรักษาที่ค่อนข้างต่ำ เพราะการเซอร์วิสน้ำมันเครื่อง กรองน้ำมัน หรือเฟืองท้ายเฉลี่ยจะมีค่าใช้จ่ายไม่เกิน 150-300 บาทต่อครั้ง, ยางขอบล้อไม่เกิน 15 นิ้วก็มีราคาไม่สูงมาก หรืออะไหล่อื่น ๆ ราคาก็มีความย่อมเยา ดูแลรักษาง่าย ศูนย์บริการก็เยอะ (โดยเฉพาะของฮอนด้า มองไปทางไหนก็เห็นศูนย์บริการ Honda Wing Center เต็มไปหมด) โดยค่าใช้จ่ายในด้านของการดูแลรักษาจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,000 บาทต่อปี ย้ำว่าต่อปี แต่ก็อาจจะมีช่วงราคาค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป หากมีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ประหยัดน้ำมัน หากอ่านมาถึงหัวข้อนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ‘รถเกียร์มันก็ประหยัดน้ำมันเหมือนกันนี่’ ก็จริงอย่างที่ผู้อ่านว่าครับ แต่บทความนี้เป็นรถสกู๊ตเตอร์ครับ เพราะฉะนั้นห้ามสงสัย แล้วไปกันต่อ รถสกู๊ตเตอร์ในกลุ่มเครื่องยนต์ไม่เกิน 160 ซีซี ถือว่าเป็นรถที่ประหยัดน้ำมันพอสมควร รถมอเตอร์ไซค์ประเภทใช้งานส่วนใหญ่มีอัตราสิ้นเปลืองราว ๆ 50–60 กม./ลิตร จากการเคลมของโรงงาน(ค่าน้ำมันเฉลี่ย ~0.5 บาท/กม. ขึ้นกับราคาน้ำมัน) จะตกอยู่ที่ประมาณ 500 – 1,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับระยะทางขับขี่ เหมาะกับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าน้ำมันสูงสุด เเต่อย่างไรอันตราสิ้นเปลืองน้ำมันก็ขึ้นอยู่กับข้อมือของผู้ขับขี่แต่ละคน ยิ่งบิดก็ยิ่งเปลืองเด้ออ้าย ขับขี่ไปได้ทุกพื้นที่ แม้จะไม่ใช่ทางเรียบ การใช้งานคล่องตัวภายในเมืองที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่รถจักรยานยนต์ในกลุ่มนี้ทำได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สำหรับเหล่าไบค์เกอร์ที่ชอบเดินทางไกล ๆ ด้วยรถจักรยานยนต์คู่ใจก็อาจจะมีบางโอกาสที่จะหยิบสกู๊ตเตอร์ไปใช้เดินทาง เพราะ ‘ขับขี่ง่าย’ อีกทั้งความพิเศษไปกว่านั้นคือพร้อมลุยทุกพื้นที่แม้จะไม่ใช่ทางเรียบ ยิ่งถ้าเน้นประสิทธิภาพการเดินทาง Forza350 และ X-ADV750 สองโมเดลนี้ถือว่าตอบโจทย์สายลุยทุกพิกัด
MV Agusta Superveloce 1000 Ago ขาย 83 คันพร้อมของแถมสุดเร้า!! ? MV Agusta Superveloce 1000 Ago ซูเปอร์ไบค์รุ่นใหม่ล่าสุดพึ่งเปิดตัวเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 80 ปี มาพร้อมกับความพิเศษแบบลิมิเต็ดอิดิชันเพื่อสดุดีแด่ตำนานแชมป์โลกตลอดกาลอย่าง Giacomo Agostini (Ago) นักบิดชาวอิตาลีผู้สร้างแชมป์กรังปรีซ์มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ด้วยจำนวนผลิตเพียง 83 คันทั่วโลก Giacomo Agostini ตำนานจุดสูงสุดตลอดกาล กับตำนาน Superveloce 1000 Ago ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่นักแข่งตำนานชาวอิตาลีอย่าง Giacomo Agostini หรือรู้จักกันในนาม “Ago” ผู้ปลุกปั้นกระแสแห่งยุคของแข่งขันสองล้อมาตั้งแต่ปี 1949 และสิ้นสุดในปี 1977 รวมระยะเวลา 14 ฤดูกาล สามารถคว้าชัยโพเดี้ยมอันดับหนึ่งถึง 122 ครั้ง พร้อมสะสมแชมป์โลกไปได้ถึง 15 สมัย (แบ่งเป็น 7 สมัยในรุ่น 350 ซีซี และ 8 สมัยในรุ่นพรีเมียร์คลาส) ซึ่งไม่มีใครสามารถสามารถเทียบชั้นกับแชมป์โลกคนนี้ได้เลย หากนับแชมป์ที่ใกล้เคียงมากที่สุดก็คงเป็น วาเลนติโน่ รอซซี่ ที่ชัยชนะถึง 115 ครั้ง โดย Agostini เป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับทีม MV Agusta กับการคว้าแชมป์โลกถึง 13 สมัยด้วยตัวแข่งค่ายอิตาลี และยังเอาชนะในรายการ Isle of Man TT สุดโหดได้มากถึง 10 ครั้ง แน่นอนว่าผลงานแชมป์โลกดังกล่าวล้วนสร้าง Value ครั้งสำคัญให้กับแบรนด์ไปอย่างเต็ม ๆ งานพรีเมียมสุด “ลิมิเต็ด” สำหรับโมเดลเจ้าซูเปอร์เวโรเช่รุ่นนี้ ยังคงยึดการออกแบบโดยใช้พื้นฐานมาจากเจ้า Superveloce 1000 Serie Oro รุ่นไฮเฮนด์ ได้รับการตกแต่งพิเศษทั้งลวดลายกราฟิกสีเงิน – แดง สะท้อนตำนานรถแข่งของ Agostini พร้อมประดับนัมเบอร์ 1 ไว้ด้านข้างแฟริ่งประกอบกับงานโครงสร้างตัวถังและชิ้นส่วนเป็นเนื้อวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เต็มระบบ และติดนัมเบอร์ซีเรียลทำจากทองคำตรงบริเวณแผงคอประดับไว้อย่างสวยงาม พร้อมกับงานพิเศษในจุดอื่น ๆ อาทิ เบาะหนังอาคันทารา ก้านเบรก/คลัตช์ งาน CNC งานปั๊มจาก Brembo โช้คอัปหน้า-หลังและกันสะบัด Ohlins ท่อ Akapovic ล้อซี่ลวดแบบทูปเลสออกแบบมาเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น ยาง Pirelli Diablo Supercorsa และสุดพิเศษกับกุญแจสลักเหรียญโลหะที่มาจากชิ้นส่วนถ้วยแชมป์โลกนั่นเอง ถือว่าเซอร์วิสสาวกแฟน ๆ แบบสุด ๆ Data / Spec เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 998 ซีซี แรงม้า (เคลม) 208 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที (Max Speed 300 km/h) แรงบิด (เคลม) 116.5 นิวตันเมตรที่
ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ หวังคืนฟอร์มที่มูเจลโล เซ่น DNF 3 เรซติด ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ นักบิดสัญชาติฝรั่งเศสจากทีมโรงงานยามาฮ่า ‘Monster Energy Yamaha MotoGP’ ออกมาตั้งเป้าผลงานก่อนการแข่งขันที่สนามมูเจลโลประเทศอิตาลี หลังจากที่การแข่งขันก่อนหน้านี้ถึง 3 สนามเจ้าตัวไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย ‘เราจะทุ่มเททุกอย่างที่เรามี’ เป็นเหมือนคำมั่นของเจ้าตัวในช่วงก่อนการแข่งขัน ซึ่งในปัจจุบันตำแหน่งในตารางคะแนนแชมป์โลก ‘เอลดิอาโบล’ อยู่ในอันดับ 10 สะสมได้ 59 คะแนน ตามหลังอันดับที่ 1 อย่างมาร์ก มาร์เกซ อยู่ที่ 174 คะแนน ย้อนกลับไปในการแข่งขันสนามที่ 5 ของฤดูกาล สนามเฆเรซ ประเทศสเปน ‘เอลดิอาโบล’ กลับขึ้นโพเดียมได้สำเร็จด้วยการคว้าโพเดียมอันดับสอง แต่หลังจากนั้นก็เหมือนโชคชะตาจ้องจะทดสอบความอดทนยังไงอย่างนั้นเริ่มต้นจากสนามเลอมังส์ ประเทศฝรั่งเศสเจ้าตัวพลาดท่าล้มเพราะฝนตก ถัดมากับการแข่งขันในสนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เจ้าตัวก็ต้องจำเป็นที่จะต้องออกจากการแข่งขันไปเนื่องจากระบบ ride-height ของตัวรถเกิดขัดข้อง ไม่เพียงแค่นั้นกับการแข่งขันในสนามล่าสุด ผลงานยังคงย่ำแย่ต่อเนื่องที่อารากอน ซึ่งเป็นสนามที่มีแรงยึดเกาะต่ำ โดยเจ้าตัวล้มในช่วงท้ายสุดของการแข่งขัน ซึ่งหลังจบการทดสอบที่สนามอารากอน ทางทีมโรงงานยามาฮ่าก็ได้ใช้เวลาในการพัฒนาตัวแข่งของทีมเพื่อให้สามารถสู้กับค่ายอื่น ๆ ได้อย่างสูสี โดยการแข่งขันในสนามมูเจลโลนี้ทางค่ายอาจมีการใช้อะไหล่ใหม่ที่อาจช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน “จากการทดสอบที่อารากอน เราเห็นว่าบางชิ้นส่วนที่ลองใช้นั้นดูมีแนวโน้มว่าจะได้ผลดีที่มูเจลโลด้วย ดังนั้นผมก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลองอีกครั้งที่นี่” “ผมชอบสนามนี้มาก และโดยทั่วไปแล้วพื้นสนามที่นี่จะมีแรงยึดเกาะดีกว่าอารากอนด้วย มารอดูกันว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่าเราจะทุ่มสุดตัวเหมือนเช่นเคย” เหล่านักแข่งทีมโรงงานยามาฮ่าจะลงแข่งขันในช่วงปลายสุดสัปดาห์นี้ ในการแข่งขันรายการ Brembo Grand Prix of Italy ในช่วงระหว่างวันที่ 20 – 22 มิถุนายนนี้ อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่นี่ (คลิ๊ก) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก
FUCHS Silkolene สนับสนุนรุ่น SuperBike 1000CC นักแข่งได้อะไร? FUCHS Silkolene แบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องชื่อดังจากประเทศเยอรมนี ซึ่งในการแข่งขันรายการ SuperBikeMag.com Trackday&Trophy 2025 ทางแบรนด์ก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรายการ โดยเข้ามาสนับสนุนในรุ่นของ ‘คลาสพันซีซี’ โดยใช้ชื่อการแข่งขันในรุ่น ‘FUCHS Silkolene Superbike 1000CC’ แน่นอนว่าการแข่งขันการภายในแทร็คถือเป็นสมรภูมิประลองความเร็ว และสมรรถนะขั้นสูงสุดของโลกสองล้อ ซึ่งนอกจากนักแข่ง รถแข่ง และทีมช่างแล้ว “น้ำมันเครื่อง” ก็คืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการแข่งขันอยู่ไม่น้อย โดยในบทความนี้จะมาเล่าให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจว่าการที่แบรนด์น้ำมันเครื่องระดับโลกเข้ามาร่วมสนับสนุนในหนนี้ ‘เหล่านักแข่ง’ จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ? ซึ่งการเข้ามาร่วมสนับสนุนของแบรนด์น้ำมันเครื่องระดับโลกนี้ไม่ได้เข้ามาเพียง ‘แปะโลโก้’ แต่มาพร้อมเทคโนโลยีน้ำมันเครื่องสุดพรีเมียมที่จะช่วยให้เหล่านักแข่งสามารถรีดพละกำลังของตัวแข่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น FUCHS Silkolene คือใคร แบรนด์ผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องระดับโลกแบรนด์นี้มีจุดกำเนิดจากประเทศเยอรมนี ที่ได้ทำการพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ์สารหล่อลื่นชนิดพิเศษ รวมไปถึงน้ำมันเครื่องประสิทธิภาพสูง จากสนามแข่งระดับโลกที่ผลิต วิจัย และพัฒนา เพื่อรถจักรยานยนต์แบบ 100% แน่นอนว่าในประเทศไทยอาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่ต้องขอบอกเลยว่าในการแข่งขันระดับโลก แบรนด์น้ำมันเครื่องเจ้านี้ยังเข้าร่วมสนับสนุนในรายการต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น MotoGP, World Superbikes, British Superbikes และอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งทีม Motocross และ Karting ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมในการแข่งขันชั้นนำทั้งหมด เพราะสนามแข่งคือ Tester ที่ดีที่สุด สำหรับผลิตภัณฑ์แบรนด์น้ำมันเครื่องคุณภาพสูงจากประเทศเยอรมนีแบรนด์นี้ไม่เพียงแค่คิดค้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ของน้ำมันเครื่องแบรนด์นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องแลปเพียงอย่างเดียวแต่ต้องพิสูจน์จริงใน “สนามแข่ง” ที่ทุกอย่างอยู่ภายใต้ความรุนแรงสูงสุด เพราะทุกการแข่งขัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงสนาม ‘ต้องใส่สุด’ เครื่องยนต์ต้องทำงานด้วยรอบสูงอย่างต่อเนื่อง มีแรงบิด และแรงม้ามหาศาล การเร่งความเร็ว การเบรก การเอียงรถเข้าโค้ง ทุกองค์ประกอบล้วนสร้างภาระอย่างหนักให้กับน้ำมันเครื่อง ดังนั้น การเข้าสนับสนุนการแข่งขันนี้จึงเท่ากับการนำสูตรน้ำมันที่ดีที่สุดของทางแบรนด์ลงไปทดสอบในสนามจริง ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวช่วยยืนยันได้ว่าสินค้าที่วางจำหน่ายนั้น “ผ่านสนาม” มาแล้ว ไม่ใช่แค่ผ่านมาตรฐาน ได้เข้าถึงประสิทธิภาพระดับสูงสุดของการแข่งขัน เพราะการแข่งขันการที่ตัวแข่งมีสมรรถนะดีนั้นก็คงไม่พอ แต่ต้อง ‘เสถียร’ ด้วย ซึ่งเหล่านักแข่งภายในงาน SuperBikeMag.com Trackday&Trophy ก็ล้วนแต่เป็นกลุ่มผู้ขับขี่ และนักแข่งที่มีความรู้ เข้าใจในเทคโนโลยีการแข่งขันอยู่ไม่น้อย พร้อมหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวแข่งสำหรับใช้ในการแข่งขัน ซึ่งการเข้ามาสนับสนุนในสนามนี้ทำให้ทางแบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นนักแข่ง ทีมแข่ง ร้านเซอร์วิส หรือผู้ขับขี่ทั่วไปที่หลงใหลในความแรง เร้าใจ หรือผู้ที่พร้อมรีดกำลังเครื่องยนต์อย่างสูงสุด น้ำมันที่ทนทานต่อความร้อน ไม่เสื่อมในช่วงท้ายเรซ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความเร็วรอบสม่ำเสมอ และป้องกันปัญหาเครื่องยนต์พังในจังหวะสำคัญ ไม่เพียงแค่นำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับเหล่านักแข่ง นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะ “พาร์ทเนอร์ด้านสมรรถนะ” ที่ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น “สนามแข่งไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่โฆษณา แต่มันคือพื้นที่ที่แบรนด์ต้องแสดงศักยภาพจริง” สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่ใช้งาน สิ่งที่สนามแข่งให้นอกเหนือจากชื่อเสียง และผลลัพธ์ในวันแข่งขัน อีกหนึ่งอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ “ความเชื่อมั่น” เมื่อน้ำมันเครื่องผ่านสนามที่โหดที่สุด และยังได้รับการเลือกใช้จากนักแข่งระดับแชมป์ ก็เท่ากับเป็นการการันตีคุณภาพจากผู้ใช้งานจริงในสถานการณ์จริง ผู้บริโภคทั่วไปจึงมั่นใจได้ว่า น้ำมันเครื่องในขวดเดียวกับที่นักแข่งใช้บนแทร็ก ก็พร้อมปกป้องเครื่องยนต์ของคุณในทุกวัน และการที่แบรนด์น้ำมันเครื่องระดับโลกค่ายนี้เข้ามาสนับสนุนรุ่นการแข่งขันครั้งนี้ไม่ใช่มาเพียงแค่การนำเสนอโลโก้ แต่คือการลงสนามร่วมกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งขึ้น พร้อมกับการเข้าถึงกลุ่มที่ต้องการรีดประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องสูงสุด และสร้างความมั่นใจในแบรนด์อย่างยั่งยืน และที่สำคัญแบรนด์น้ำมันเครื่องสัญชาติเยอรมนีรายนี้จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในการแข่งขันรุ่น SuperBike 1000CC ในการแข่งขันรายการ SuperBikeMag.com Trackday&Trophy 2025