
สรุปดราม่า BMW ยื่นจดสิทธิบัตรสกรูดีไซน์โลโก้ Roundel ที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการไขเท่านั้น ส่อแววปิดกั้นสิทธิการซ่อมรถด้วยตัวเอง
SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

สรุปดราม่า BMW ยื่นจดสิทธิบัตรสกรูดีไซน์โลโก้ Roundel ที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการไขเท่านั้น ส่อแววปิดกั้นสิทธิการซ่อมรถด้วยตัวเอง

อัปเดตภาพหลุด All-New Mitsubishi Pajero Sport 2026 วิ่งทดสอบในไทย ดีไซน์ทรงกล่อง เครื่องยนต์ 2.4 Bi-Turbo และคาดการณ์วันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
Coming soon…

BMW CE 02 ยนตกรรมไฟฟ้าสำหรับคนเมือง ขายไทยไม่ถึง 5 แสน BMW CE 02 ยนตกรรมไฟฟ้าสำหรับคนเมือง จากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง มาในคอนเซ็ปท์ “eParkourer” (Pakour หรือ ปากัวร์ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เน้นการปีนป่ายข้ามอุปสรรคด้วยความรวดเร็ว) มอบความคล่องตัว ทรงพลังและความเร้าใจในการขับขี่แต่ละวัน พร้อมสัมผัสประสบการณ์สดใหม่ในการขับขี่ที่ทางค่ายจัดเตรียมไว้ให้ รถไฟฟ้าน้องใหม่คันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในเมือง เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าที่แตกต่างจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป มอบความคล่องตัว ความสะดวกสบาย ความทนทาน และความสนุกเร้าใจทุกการขับขี่ การออกแบบสะท้อนความเป็นอิสระและความสนุกสนาน สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากเบาะนั่งที่มีรูปทรงคล้ายสเก็ตบอร์ด ตัวถังใช้สีดำเป็นหลัก ทั้งเฟรม ล้อ บังโคลนหน้าและแผงคอ ตกแต่งด้วยสีเทาแบบด้าน Granite Grey Metallic Matt บริเวณฝาครอบเครื่องยนต์ มอบความโดดเด่นสวยงามจากความแตกต่างระหว่างพื้นผิวด้านและและพื้นผิวมันวาวบนตัวถัง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 48 โวลต์ ความจุ 1.96 กิโลวัตต์-ชั่วโมง 2 ก้อน โดยแบตเตอรี่สามารถถอดได้ระหว่างการบำรุงรักษา สร้างกำลังได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ (15 แรงม้า) ส่งแรงบิดสูงสุด 55 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกลถึง 95 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 100% ในเวลา 210 นาที และชาร์จจาก 20% ถึง 80% ในเวลา 102 นาที ด้วยสายชาร์จแบบเร็วที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยให้กำลังไฟสูงถึง 1,500 วัตต์ ยังมาพร้อมกับ 2 รูปแบบการขับขี่คือโหมด “Flow” และ “Surf” โดยโหมด “Flow” เหมาะสำหรับการขับขี่ฝ่าการจราจรหนาแน่นในเมือง ในขณะที่โหมด “Surf” มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจเมื่อพ้นช่วงการจราจรที่พลุกพล่าน มาพร้อมชุดเฟรมเหล็กกล้าสองชั้นที่ทนทานต่อการบิดงอ ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก ติดตั้งบริเวณล้อหน้า ล้อหลังติดตั้งระบบสวิงอาร์มเดี่ยวและช่วงล่างแบบ pivoted ยางหน้ากว้างหุ้มล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบดิสก์วีล พร้อมดิสก์เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลังเพื่อเพิ่มความมั่นใจขณะชะลอความเร็ว ระบบเบรก ABS ที่ล้อหน้ายังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเหนือระดับ แผงหน้าปัดควบคุมพร้อมจอภาพสี TFT ให้ภาพที่คมชัด โดยแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ อาทิ ความเร็วในการขับขี่และสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ ช่องชาร์จ USB-C ทำให้ชาร์จสมาร์ทโฟนได้สะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน BMW Motorrad Connected ยังแสดงระยะเวลาที่คาดว่าการชาร์จจะสิ้นสุดบน สมาร์ทโฟนผ่านการเชื่อมต่อผ่านระบบบลูทูธอีกด้วย สุดท้ายวางจำหน่ายที่ 479,000 บาทเท่านั้น อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Ather 450 Apex สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าดีไซน์ล้ำจากอินเดีย เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ Ather Energy แบรนด์สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสัญชาติอินเดีย เปิดตัวโมเดลพิเศษ Ather 450 Apex ที่เร็วและแรงที่สุดของทางค่าย และแน่นอนว่าราคาแรงที่สุดตามไปด้วย โดยจะผลิตขึ้นอย่างจำนวนจำกัด หลัก ๆ แล้วเจ้า 450 Apex คันนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจาก 450X ที่เป็นโมเดลสแตนดาร์ดมากนัก แต่จะไปแตกต่างในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลัก มันโดดเด่นด้วยการเลือกใช้เฉดสีสันที่โดดเด่น การเลือกใช้แฟริ่งสีน้ำเงินอิริเดียมบลูตัดด้วยสีส้มที่ล้อ โลโก้ และเฟรม พร้อมจุดเด่นอีกหนึ่งจุดที่ไม่มีใครเหมือนด้วยการใช้แฟริ่งด้านข้างบริเวณใต้เบาะแบบเกือบใส ทำให้มองเห็นภายในได้ประมาณนึง ถือเป็นลูกเล่นที่ดูเท่ดีไม่หยอก ในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นมีความแรงมากกว่าตัวสแตนดาร์ดเล็กน้อย โดยให้กำลังสูงสุด 7 กิโลวัตต์ (มากกว่าสแตนดาร์ดที่ 0.6 กิโลวัตต์) หรือเทียบเป็นแรงม้าได้ที่ 9.39 แรงม้า และให้กำลังแรงบิดเท่ากันกับรุ่นสแตนดาร์ดที่ 26 นิวตันเมตร มาพร้อมโหมดพิเศษ Warp+ ที่ช่วยให้ทำท็อปสปีดได้มากถึง 100 กม./ชม. เป็นโมเดลแรก สามารถทำความเร็วจาก 0 – 40 กม./ชม. ได้ภายใน 2.9 วินาที เร็วขึ้นกว่าตัวปกติถึงเกือบครึ่งวินาที ทางค่ายยังเคลมมาว่าสามารถเร่งความเร็วได้ดีกว่าตัวปกติขณะขับขี่บนท้องถนนอีกด้วย พูดถึงเรื่องของการชาร์จไฟกันบ้าง ตัวรถใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไออนขนาด 3.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง เคลมระยะใช้งานสูงสุดมาที่ 157 กม. สามารถชาร์ตไฟจาก 0 ถึง 100% ได้ภายใน 5 ชั่วโมง 45 นาทีในแบบของชาร์จไฟบ้านทั่วไป ส่วนช่วงล่างนั้นตัวรถเลือกใช้เฟรมอลูมิเนียมผสมกับเหล็กกล้า ด้านหน้าจะเป็นโช้คแบบเทเลสโคปิก ด้านหลังจะเป็นโช้คเดี่ยว ระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหน้าและคาลิเปอร์เบรก 3 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เดี่ยวและคาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบเดี่ยว พร้อมมีระบบคอมบายด์เบรกและรีเจนเนอเรทีฟเบรกกิ้ง หรือระบบชาร์จไฟกลับเมื่อเบรกอีกด้วย ส่วนยางและล้อจะมีขนาด 90/90 – 12 และ 100/80 – 12 แบบไม่ต้องใช้ยางใน เทคโนโลยีคันนี้ให้มาค่อนข้างทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟ LED เต็มระบบ หน้าจอแสดงผลสี TFT ขนาดใหญ่ถึง 7 นิ้ว โหมดการขับขี่ 5 โหมด ระบบช่วยจอด ระบบช่วยหยุดรถ ระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ ระบบไฟส่องสว่างแบบไกด์มีโฮม ระบบดับเครื่องรถเมื่อรถล้ม ระบบไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเปิดราคาจำหน่ายที่ 188,999 รูปี หรือราว ๆ 81,000 บาท ถือว่าราคาไม่แพงเลย แต่ถ้ามาจำหน่ายในไทยคงจะหลักแสนขึ้นแน่นอน ส่วนตัวแอดมินก็มองว่าอยากให้แบรนด์รถไฟฟ้ามาทำตลาดไทยกันเยอะ ๆ แข่งขันกันมาก ๆ ซึ่งจะได้เป็นประโยชน์แก่นักบิดอย่างเรา ๆ ฮ่า ๆ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Verge TS Ultra 2024 มอไซค์ไฟฟ้าที่ไฮเทคที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่โดนเด่นและทันสมัยไม่เหมือนใครอยู่แล้ว แต่มาในปีใหม่นี้ทางค่ายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสัญชาติฟินแลนด์ค่ายนี้ก็ได้ทำการอัปเกรดมอเตอร์ไฟฟ้าพิกัดเรือธงของทางค่ายหรือว่าเจ้า Verge TS Ultra 2024 ของทางค่ายให้มีความทันสมัยเข้าไปอีก และกลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ไฮเทคที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ไปแล้วครับ เจ้าเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ว่านั้นก็คือกล้องและเรดาห์ที่ทำงานร่วมกันกับทาง AI และระบบแมชชีนเลิร์นนิ่ง ทั้งนี้ยังมาพร้อมหน้าจอใหม่ที่การันตีว่าผู้ขับขี่จะได้รับข้อมูลที่ชัดเจนได้ในคราวเดียว โดยกล้องมีมากถึง 6 ตัวช่วยสร้างการมองเห็นรอบตัวได้แบบ 360 องศา พร้อมกับเรดาร์ความละเอียดสูงที่ด้านหน้าและด้านหลัง ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า Starmatter และแพลตฟอร์มอัจฉริยะที่มีฟีเจอร์โดดเด่นสี่อย่างด้วยกัน ได้แก่ การอัปเดตอัตโนมัติแบบ OTA เทคโนโลยีเซนเซอร์ ระบบ AI และระบบ Human Machine Interface หรือระบบหน้าจอสื่อสารระหว่างคนขับกับตัวรถนั่นเอง ซึ่งทำให้แต่เดิมที่เป็นรถที่ปลอดภัยมากอยู่แล้วจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นแทร็คชันคอนโทรล หรือระบบเบรก ABS ยังได้อัปเกรดความปลอดภัยขึ้นไปอีกระดับด้วยระบบข้างต้นที่กล่าวมา ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยแจ้งเตือนผู้ขับขี่ถึงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวผู้ขับขี่ได้มากขึ้นกว่าปกติ เพราะไบค์เกอร์ต่างรู้ดีว่าการใส่หมวกกันน็อกนั้นลดทอนและจำกัดทัศนวิสัยของผู้ขับขี่อย่างมาก ซึ่งเทคโนโลยีจะช่วยบอกเรื่องรถที่เข้ามาใกล้จากด้านหลัง หรือช่วยคุณเวลาเปลี่ยนเลย ซึ่งช่วยลดมุมอับหรือการมองไม่เห็นรถที่ขับเข้ามาใกล้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้หน้าจอใหม่เองก็ยังเป็นการปฏิวัติวงการการที่ผู้ขับขี่จะตอบสนองต่อหน้าจอแสดงผลของรถอีกด้วย หน้าจอบนถังน้ำมันเองก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นซึ่งจะสะดวกต่อการใช้งาน ส่วนหน้าจอหลักจะมีชื่อใหม่ว่า Starmatter Dash ซึ่งใช้งานได้ง่ายขึ้น และคอยแจ้งและเตือนอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงแสดงภาพจากกล้องหลังเวลาที่ผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยว เป็นต้น เรียกว่าอย่างกับขับรถยนต์สมัยใหม่ที่มีระบบต่าง ๆ มากมายเพื่อช่วยในเรื่องความปลอดภัยเลยล่ะครับ ตัวเลขสเปคที่น่าสนใจคร่าว ๆ สำหรับโมเดลนี้ก็คือ มีแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อหลังแบบไร้ฮับอยู่ที่ 1200 นิวตันเมตร มีกำลังแรงเทียบเท่ากับรถขนาด 201 แรงม้า เรงจาก 0 – 96 กม./ชม. ได้ภายใน 2.5 วินาที เคลมท็อปสปีดสูงสุดมาที่ 198.4 กม./ชม. มาพร้อมระบบชาร์จไวได้ภายใน 25 นาที เคลมระยะทางการใช้สูงสุดมาที่ 372.8 กม./ชม. กับยางคุณภาพดีจากทาง Pirelli Diablo Rosso III สุดท้ายนี้เรื่องของการจำหน่ายนั้นตัวรถตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 44,900 เหรียญ หรือราว ๆ 1.6 ล้านบาท โดยคาดการณ์กันว่าจะส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 นี้ครับ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก