SuperBikeMag.Com ข่าวรถยนต์ รีวิวรถใหม่ รถยนต์ไฟฟ้า ข่าวรถจักรยานยนต์

ข่าวรถยนต์ รีวิวรถยนต์ รถไฟฟ้า EV รถยนต์เปิดตัวใหม่

ข่าวรถยนต์

  • All Posts
  • ข่าวรถยนต์
อัปเดตราคารถ EV ปี 2569 จ่อพุ่งหลักแสน! หลังมาตรการอุดหนุนสิ้นสุด 31 ธ.ค. 68

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทยเตรียมปรับขึ้นราคาปี 2569 หลังมาตรการ EV 3.0 สิ้นสุด พร้อมอัปเดตมติ ครม. ล่าสุดเรื่องการขยายเวลาจดทะเบียน

No Posts Found!

รีวิวรถยนต์

Coming soon…

รถยนต์ไฟฟ้า

No Posts Found!

  • All Posts
  • รถไฟฟ้า
  • รถยนต์ไฟฟ้า (EV)
Lambretta Elettra เผยโฉมรถไฟฟ้า 100% ครั้งแรกในโลก Eicma 2023

สร้างความสั่นสะเทือนวงการรถจักรยานยนต์อีกครั้ง กับแบรนด์ LAMBRETTA (แลมเบรตต้า) เจ้าพ่อสกู๊ตเตอร์คลาสสิกระดับตำนาน 76 ปี จากอิตาลี ทำเซอร์ไพรส์เผยโฉมสุดยอดอิเลคทริคสกู๊ตเตอร์ EV Concept รุ่นต้นแบบ ในชื่อรุ่น Lambretta Elettra กับรูปโฉมที่เปรียบเสมือนผลงานศิลปะแห่งอนาคต ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% Elettra รถรุ่นต้นแบบของสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ดังฝั่งอิตาลี อย่างแลมเบรตต้า ที่นำมาเผยโฉมให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกในโลก ภายในงาน  EICMA 2023 (Esposizione Internazionale Ciclo Motociclo e Accessori 2023) จัดขึ้น ณ​ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นี้  ซึ่งถือเป็นปีที่แบรนด์แลมเบรตต้าครบรอบ 76 ปี  สำหรับชื่อ Elettra เป็นชื่อภาษาอิตาเลียน ที่นิยามถึงหญิงสาวทรงเสน่ห์ มากความสามารถมีความคิดนอกกรอบและมีความมั่นใจในตนเอง นอกจากนี้ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าเป็น จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก หรือผู้ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นจนได้รับเป็นผู้ที่ถูกเลือก ซึ่งนั่นจึงเหมาะสมกับการนิยามความหมายให้กับรุ่นต้นแบบของ Elettra สกู๊ตเตอร์แนวคิดแห่งอนาคตอันมีดีไซน์ทรงเสน่ห์คันนี้  “ แรงบันดาลใจจากอดีต สู่ แนวคิดแห่งอนาคต ”  เบื้องหลังของการออกแบบรูปโฉมของ Elettra  สกู๊ตเตอร์แห่งอนาคตคันนี้   ได้รับแรงบันดาลใจจากอดีตในรุ่นตำนานอย่าง Model LD ในช่วงปี 1951-1958  นำมาถ่ายทอดเส้นสายของดีไซน์และพัฒนาใหม่ เพื่อก้าวเข้าสู่ New Golden Era ของแลมเบรตต้า  โดยใช้แนวคิดแห่งอนาคตในการออกแบบให้มีความล้ำสมัยระดับไฮเอนด์  แต่ยังคงกลิ่นอายและ DNA ดีไซน์โครงสร้างแบบ Low & Long อันเป็นเอกลักษณ์ของ แลมเบรตต้าซึ่งมีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเอาไว้ได้อย่างลงตัว  การออกแบบในส่วนของด้านหน้ารถ  เริ่มตั้งแต่ไฟหน้าที่ยังคงเอกลักษณ์ โคมหกเหลี่ยมพร้อมสลักโลโก้ LAMBRETTA ตรงกลาง ถัดลงมาที่โลโก้ INNOCENTI – LAMBRETTA ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่สืบทอดในหลากหลายโมเดลของแลมเบรตต้ามาหลายยุคหลายสมัย ก็ยังคงดีไซน์เดิมเอาไว้ แต่เพิ่มเติมลูกเล่นใหม่โดยใช้ lighting แบบแสงออกหน้า ถัดลงมาที่เอกลักษณ์สำคัญที่สาวกแลมเบรตต้าตัวจริงหรือชาวแลมเบรตติสต้า เรียกบริเวณนี้กันว่า จมูกหมู ซึ่งเป็นอีกเอกลักษณ์ที่มีในรถแลมเบรตต้ามาอย่างยาวนาน โดยในโมเดล Elettra คันนี้ ได้ปรับดีไซน์ใหม่ ให้มีการเล่น lighting ภายในดีไซน์ของบริเวณจมูกหมูถือเป็นการนำเสนอแบบใหม่ ที่เสริมคาแรคเตอร์ให้ดูล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงตัวตนของแลมเบรตต้าเอาไว้ได้อย่างชัดเจนที่สุด  นอกจากนี้ ก็ยังคงแฝงดีไซน์การเล่น lighting ในจุดต่างๆ รอบคัน  ทั้งบริเวณขอบคิ้วของตัวรถ ปลายแฮนด์ทั้งสองข้าง  โลโก้บริเวณฝาข้างทั้งสองข้าง และที่แปลกตาคือไฟท้าย ในโมเดล Elettra รุ่นต้นแบบคันนี้ ออกแบบมาให้ไฟท้าย เล่น lighting  สีแดง แบบที่ฝังอยู่ในตัวบอดี้ ไม่มีโคมแยกชิ้น ซึ่งหากไม่สตาร์ทรถ ก็จะเห็นเพียงชิ้นสีบอดี้แบบเนียนตาเลยทีเดียว สมกับเป็นดีไซน์ที่ใช้แนวคิดแห่งอนาคตในการออกแบบจริงๆ  มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโมเดล Elettra คันนี้ คือ การออกแบบให้บอดี้ตัวรถสามารถยกเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ที่นอกจากจะได้อารมณ์ความล้ำนำสมัยขั้นสุดแล้ว ยังช่วยให้การเซอร์วิสหรือการคัสตอมอุปกรณ์ต่างๆด้านในกลายเป็นเรื่องที่ทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น  อีกทั้งในส่วนของโครงสร้างด้านในตัวรถยังมีรายละเอียดทางด้านวิศวกรรมในการออกแบบที่เลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติให้ความแข็งแกร่ง ทนทาน ประกอบกับมีน้ำหนักเบา เพื่อให้สามารถตอบโจทย์กับการใช้งานแบบประหยัดแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ ในโมเดล Elettra คันต้นแบบคันนี้ ยังมาพร้อมกับช่วงล่างเอกลักษณ์ กับระบบโช๊คด้านหน้าแบบ Double Arm-Link พร้อม ปั๊มเบรค Brembo รัดด้วยยางหน้า-หลัง ขนาด 12” จากแบรนด์สัญชาติเดียวกันอย่าง Pirelli แบรนด์ยางชื่อดังจากอิตาลี  ส่วนทางด้านหลังออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ “Push Rod” หรือระบบช่วงล่างที่นิยมใช้กันในรถ Super bike และ Hyper Car คือการออกแบบให้มีการเคลื่อนที่ของสปริงโช๊คอัพไปในแนวระนาบแทน ซึ่งการวางแบบนี้ ในโมเดล Elettra จะสัมพันธ์กับการดีไซน์บอดี้ด้านข้างให้สามารถแคบลงได้ เพื่อให้ได้ฟีลลิ่งบอดี้สลิม รูปร่างเพรียว เมื่อมองจากทางด้านท้าย เหมือนกับโมเดลแลมเบรตต้าในอดีต อีกทั้งยังมีข้อดีที่ช่วยให้ช่วงล่างมีความนุ่มนวลมากกว่าแบบปกติทั่วไป  สำหรับข้อมูลเบื้องต้นในขณะนี้ Elettra จะมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ ถึง 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่  ECO  โหมดประหยัดพลังงานสูงสุด ทำให้ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จไกลขึ้น NORMAL โหมดการใช้งานทั่วไป SPORT โหมดที่ปล่อยกำลังของมอเตอร์ และแบตเตอรี่สูงสุด เพื่อให้อัตราเร่งและความเร็วสูงที่สุด 

Yamaha E-FV

Yamaha E-FV คอนเซ็ปต์โมเดลรถไฟฟ้าขนาดเล็กที่น่าสนใจ สำหรับ Yamaha E-FV ก็จะเป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์ไบค์หลาย ๆ คัน ที่ไปโชว์ในงาน Japanese Mobility Show 2023 ที่น่าสนใจมากอีกคันนึง เนื่องจากเจ้านี่เป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กนั่นเองครับ ซึ่งโมเดลนี้พัฒนาโดยกลุ่มวิศวกรอาสาสมัครอายุยังน้อยที่ตั้งเป้าหมายที่จะหาความสนุกจากยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นอนาคตใหม่เข้ามาแทนที่รถน้ำมันตามกระแสโลกในตอนนี้ โดยคันนี้จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน TY-E ไทรอัลไฟฟ้าที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีของทางยามาฮ่านั่นเอง แน่นอนว่าเจ้ามินิไบค์ไฟฟ้าคันนี้ไม่ต้องใส่เกียร์และเป็นโมเดลที่มุ่งเน้นการขับขี่ที่ทุก ๆ คนสนุกได้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีพิเศษเข้ามาเพิ่มความเร้าใจที่รถไฟฟ้าส่วนใหญ่ขาดหายไปเนื่องจากความเงียบของมัน ซึ่งเทคโนโลยีที่ว่าก็คือ Active Sound Control หรือระบบควบคุมเสียงแบบแอ็กทีฟที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้เพลิดเพลินไปกับเสียงของท่อไอเสียเหมือนกับรถน้ำมันแบบที่เราคุ้นเคยนั่นเองครับ เรียกว่าน่าสนใจทั้งตัวรถไฟฟ้าและตัวเทคโนโลยีสร้างเสียงท่อไอเสียสังเคราะห์นี้จริง ๆ ครับ อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

UBCO 2X2 Hunt Edition รถไฟฟ้าสำหรับคนชอบเข้าป่า

UBCO 2X2 Hunt Edition รถไฟฟ้าสำหรับคนชอบเข้าป่า เปิดตัวโมเดลใหม่อีกแล้วสำหรับค่ายรถไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญในระบบขับเคลื่อนสามล้อ กับโมเดลใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า UBCO 2X2 Hunt Edition ที่มาในสไตล์พร้อมลุย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกลางแจ้งในแบบที่หลาย ๆ คนน่าจะชื่นชอบ สำหรับโมเดลนี้ทางค่ายได้ทำงานร่วมกันกับนายพรานและนักเซิร์ฟมือโปรอย่าง Shane Dorian เพื่อให้โมเดลนี้ได้ดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในป่าหรือสถานที่รกร้างห่างไกลจากตัวเมือง ไปตั้งแคมป์ ไปยิงนกตกปลา รับรองว่าดี (แต่บ้านเราต้องดูว่าอย่าไปทำอะไรสัตว์สงวนนะครับ) โดยตัวรถจะมีฟังก์ชันหลาย ๆ อย่างที่ตอบโจทย์การใช้งานในสไตล์ผจญภัยเข้าป่าแบบนายพราน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบฟลัดไลท์กำลัง 2400 ลูเมน ขายึดธนูหรือหน้าไม้ แผงข้างตัวรถสำหรับไว้ติดตั้งอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ช่องใส่ของกลางตัวรถขนาด 12 ลิตร สายรัด ที่วางสัมภาระ รวมไปฟังก์ชันอื่น ๆ อย่างขาจับโทรศัพท์ Peak Design การ์ดเบรก ตัวรถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบฮับมอเตอร์แบบไม่มีแปรงถ่านระบายความร้อนด้วยอากาศ อยู่กับล้อที่ให้กำลังสูงสุด 1.7 กิโลวัตต์ 2 ตัว (ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง) เป็นแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้มากถึง 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีระยะการใช้งานอยู่สูงสุดที่ 120 กม. จากแบตเตอรี่ขนาด 3.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ใช้เวลาชาร์จนาน 4 – 6 ชั่วโมง ช่วงล่างก็จะเป็นเฟรมแบบสเต็ปทรู ซึ่งเอื้อให้ทางแบรนด์ใช้วางของหรือสัมภาระได้ ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าจะเป็นเทเลสโคปิกและด้านหลังเป็นโช้คคู่สามารถปรับพรีโหลดและรีบาวด์ได้ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกหน้าหลังขนาดเท่ากันที่ 200 ม.ม. พร้อมคาลิเปอร์เบรกแบบ 2 ลูกสูบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระบบเรเจเนอเรทีฟเบรกกิ้ง ที่ช่วยชาร์จไฟกลับเวลากำเบรก นอกจากนี้เบรกยังทำงานแบบพาสซีฟรีเจเนอเรทีฟเมื่อปิดคันเร่งอีกด้วย ส่วนล้อนั้นจะเป็นล้อขนาด 17 นิ้วหน้าหลังเท่ากันพร้อมยางหนามสำหรับการขับขี่แบบออฟโร้ด เรียกได้ว่าเป็นรถไฟฟ้าที่มีสเป็กและฟีเจอร์ที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ เหมาะกับพื้นที่ทุรกันดารเข้าถึงได้ยาก แต่ราคาอาจจะแรงไปหน่อย โดยรุ่นนี้จะอยู่ที่ 6,499 ดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยราว ๆ 240,000 โดยที่ยังไม่รวมภาษี อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

ราคาและสเปครถยนต์

No Posts Found!

No Posts Found!