2026 BMW R1300 RS
สปอร์ตพี่ใหญ่ เครื่องในบ็อกเซอร์

อีกหนึ่งรุ่นที่เฉลยออกมาพร้อมกับเจ้า R1300RT อย่าง 2026 BMW R1300 RS สปอร์ตทัวเรอร์รุ่นนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่เช่นกัน ทั้งในเรื่องของขุมพลังบ็อกเซอร์ ระบบเทคโนโลยี ฟีเจอร์ต่าง ๆ และการดีไซน์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจมากกว่าเดิม
ด้วยการยกระดับครั้งใหม่ในรถคลาสสปอร์ตทัวริ่งของทางค่าย เจ้า R1300 RS รุ่นนี้ ให้เหนือขึ้นทั้งในแง่ ดีไซน์ และเทคโนโยี โดยยังคงคาแรคเตอร์ ขี่สนุก เข้าโค้งดี ขี่ไกลก็ได้ แบบเดิมไว้ครบถ้วน และนอกจากนี้ มีการออกแบบในหลายส่วนเพื่อตอบรับความต้องการของผู้ขับขี่ได้แบบเต็มพิกัดด้วยออปชันเสริมต่าง ๆ มากมาย โดยเปิดตัวมาทั้งในรุ่นของ Standard และ รุ่น Performance เสริมความจัดจ้านทั้งภายนอกและช่วงล่างสำหรับสายสปอร์ตโดยเฉพาะ

เราพัฒนา R 1300 RS ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของสปอร์ตทัวร์ริ่งที่ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ ทั้งในด้านดีไซน์ อากาศพลศาสตร์ และสมรรถนะ โดยไม่ลดทอนความสบายสำหรับการเดินทางไกล Hauke Glässing โปรเจ็กต์เมเนเจอร์จากทาง BMW Motorrad กล่าว
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ แรงจัด ประหยัด นุ่มนวล
ด้วยการใช้พื้นฐานเครื่องยนต์สูบนอนบ็อกเซอร์พิกัด 1,300 ซีซี มีปริมาตรกระบอกสูบและช่วงชักถึง 106.5 x 73 มม. ขยายกระบอกสูบ เปลี่ยนเพลาข้อเหวี่ยง และช่วงชักสั้นลงเมื่อเทียบกับเจ็นก่อน ให้กำลังแรงม้า 145 แรงม้าที่ 7,750 รอบ แรงบิด 149 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ มีเทคโนโลยีชิฟต์แคมป์ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเร่งที่ทันใจและต่อเนื่องทุกย่านความเร็ว อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมันอีกด้วย (ถังน้ำมันขนาด 17 ลิตร)
มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมดทั้ง Road, Rain และ Eco เสริมออปชันด้วย 2 โหมดขับขี่เพิ่มเติมได้แก่ Dynamic และ Dynamic Pro สำหรับผู้ขับขี่ที่เน้นความสปอร์ตเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานกับระบบป้องกันการลื่นไถลอย่าง Engine drag Torque Control (MSR) ป้องกันท้ายยก ท้ายสะบัด หรือกระชากรุนแรงจนเกิดอัตรายต่อผู้ขับขี่นั่นเอง
เสริมความเป็นโมเดลเจ็นใหม่ของทางค่าย โดยมีรุ่นสำหรับระบบเกียร์อัตโนมัติอย่าง Automated Shift assistant (ASA) ออปชันใหม่ให้สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งระบบออโตเมติกและระบบแมนนวล
ช่วงล่างที่แตกต่าง

เรื่องของระบบช่วงล่างสำหรับรุ่นนี้ จะค่อนข้างแตกต่างด้วยคาแรคเตอร์ที่สปอร์ตมากกว่า กับโช้คหน้าแบบหัวกลับขนาด 47 มม. ส่วนด้านหลังเป็นระบบกันสะเทือน Evo-Paralever ควบด้วยล้อหน้า-หลังขนาด 17 นิ้ว ที่มีน้ำหนักเบากว่าตัวก่อนถึง 1.4 กก. ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 310 มม. คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยว คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ พร้อมรัดไซส์ยางมาขนาด 120/70 และ 190/55 ตามลำดับ
มีระบบ Dynamic Suspension Adjustment (DSA) ระบบออปชันเสริมที่สามารถปรับช่วงล่างแบบไดนามิกที่สามารถปรับได้ทั้งแดมปิ้ง ความหนืดของสปริง ปรับโหลดระยะยุบของตัวโช้คได้ตามโหมดการขับขี่นั่นเอง และนอกจากนี้ยังมาพร้อมด้วยระบบ ABS Pro และฟังก์ชันเสริมอย่าง Sport Brake System พร้อมคาลิเปอร์สีไทเทเนียม โดยออปชันนี้จะติดตั้งมาให้ในรุ่น Performance เช่นกัน
เทคโนโลยีและฟังก์ชันต่าง ๆ

- คันเร่งไฟฟ้า พร้อมโหมดการขับขี่
- หน้าจอสี TFT 10.25 นิ้ว
- ระบบไฟส่องสว่าง LED
- ระบบนำทาง
- ระบบล็อกไฟฟ้าสำหรับฐานยึดอุปกรณ์นำทางหรือสมาร์ทโฟน
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ ASA (ออปชันเสริม)
- สมาร์ทคีย์
- พอร์ต USB-C
- ระบบ ABS Pro
- ระบบป้องกันการลื่นไถล Engine drag Torque Control
นอกจากนี้ยังมีออปชันสำหรับสายทัวริ่งด้วยระบบ Active Cruise Control (ACC) พร้อมเรดาห์ตรวจสอบรอบทิศทางอย่างแม่นยำ อันนี้เป็นออปชันเสริมด้วยนะจ๊ะ
เปิดตัวมาทั้งหมด 4 รุ่น 4 สี
![]() |
สีน้ำเงิน |
![]() |
สีดำ |
![]() |
สีไตรคัลลอร์ (รุ่น Performance) |
![]() |
สีเทา เมทัลลิก |
ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ที่ปรับใหม่ทั้งหมด จึงทำให้รุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับสายสปอร์ตที่ไม่ชอบก้มหลัง สำหรับราคาเปิดตัวราว ๆ ที่ 23,865 ดอลล่าร์หรือราว ๆ 8 แสนบาท และคาดว่ารุ่นนี้ถูกโฉลกกับตลาดไทย หากมาในราคาดี ๆ มีว้าวอย่างแน่นอนครับ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก