ทดสอบ CRF 250 Rally พิชิต 3 ประเทศ ไทย กัมพูชาและเวียดนาม

ผมได้รับเชิญจากทาง A.P.Honda ว่าจะได้ขี่รถจากไทยไปเวียดนาม กับการ ทดสอบ CRF 250 Rally พิชิต 3 ประเทศจนถึง เวียดนาม ก็ได้เตรียมตัวมาพอสมควรประมาณ รวมเวลาประมาณเดือนนึงได้ ช่วงนั้นทาง Alpinestars ลดราคาชุดพอดี ผมก็เลยไปจัดชุดมาเตรียมขี่ในงานนี้ครับ สีแดงแรงฤทธิ์มาเลยครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เวลาหลงกันจะได้หากันง่ายๆ กันไว้ก่อน (55) ชุดนี้เท่มากๆ ก็ใครๆ ก็เน้นหล่ออะครับทำไงได้ หมวกกันน็อคก็มาจาก JUST1 Thailand เต็มที่ไปเลยครับกับทริปนี้ ขอบคุณสปอนเซอร์ตรงนี้กันก่อนเลยครับ อิอิ

เข้าเรื่องกันเลยละกันครับ ตามกำหนดการผมเริ่มเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มจาก Honda BigWing เลียบทางด่วนเดินฯ ทางมาที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อที่จะปล่อยตัวคาราวาน CRF250Rally ออกจากสถานีรถไฟอรัญประเทศโดยมีคุณ อานพ พรประภา เป็นประธานตีธงปล่อยคาราวานข้ามแดนจุดหมายแรกคือเมืองเสียมเรียม ประเทศกัมพูชา ทางทีมงานต้องมาบรี๊ฟเส้นทาง กันก่อน บอกเลยยังไม่ผ่านแดนน้ำเกือบจะหมดตัว ไม่ได้ไปทำไรนะอย่าเพิ่งคิดไกล ร้อนน่ะคับ ร้อนมาก ทั้งรถเข็นข้ามแดน รถบัส รถสิบล้อ รถทัวร์ มาครบหมด ต้องลงมาต่อคิวผ่านด่านตวรจคนเข้าเมือง ทีละคน เรื่องคนเสร็จ เรื่องรถอีก ต้องทำกันตัวต่อตัวเป็นคันๆ ตามกฏหมาย หลังจากนั้นข้ามด่านเรียบร้อย

อย่างแรกเลย ต้องปรับตัวครับ เลนถนนเปลี่ยน เราต้องมาขับทางเลนขวาสลับกับประเทศไทย ขับผ่านด่านมาได้สักนิด เราก็มาบรี๊ฟทางกันอีกที ใครคาราวานเรายังมีเซเล็บฯ หนุ่มหล่อสาวสวยด้วยซึ่งก็คือ พี่ส้ม อมรา กับพี่ภูริ ร่วมเดินทางมากับเราด้วย สนุกแน่นอนและป็นกันเองสุดๆ เพราะเราลงเรือลำเดียวกันนะครับ แลกเงินพร้อม แต่ไม่ซีเรียสเท่าไร ที่กัมพูชาใช้เงินไทยได้ ทอนเงินไทย แต่ผมแลกเงินดอลลาร์ติดตัวไว้นิดหน่อย

ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย ผมก็ทั้งเหนื่อยเนื่องจากอากาศร้อนมากๆ สภาพแวดล้อมเหมือนประเทศไทยเลย เวลาและอุณหภูมิเท่ากันกับประเทศไทย จุดหมายต่อไปคือ อ่างเก็บน้ำบารายตะวันตก เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีอายุหลายพันปี ใช้คนขุดขึ้นมา เขาเล่ากันว่าต้องมีอ่างเก็บน้ำไว้ใช้ ในทุกๆ ภาคของประเทศ ระยะทางวันแรกยังไม่ค่อยเท่าไร ออกจากอ่างเก็บน้ำก็ไม่กี่สิบกิโลถึงที่พักที่เสียมราฐ (เสียมเรียบ) วันที่สองเราจะออกเดินทางจากโรงแรมเพื่อไปยังนครวัด นครธม เข้าเยี่ยมชมปราสาทบายนที่สวยงาม ผมรู้สึกได้ว่าวันนั้นคนในนครธมให้ความสนใจกลุ่มเรามาก เพราะเป็นกลุ่มเดียวที่ขี่มอเตอร์ไบค์เข้าไปในนั้น เป็น CRF250Rally สีแดงเด่น เต็มนครธมไปหมด ในวันนั้นถือว่าคนยังไม่เยอะเท่าไร เพราะไม่ใช่วันหยุด แต่ก็มีอยู่บ้าง ออกจากนครธมมาเราไม่ได้เข้าไปที่นครวัด เพราะต้องเดินเข้าไปไกล ซึ่งกินเวลาพอสมควร จึงเดินหน้าต่อไปยังสะพานโบราณ แวะดื่มน้ำ ดูสาวๆ กัมพูชา พักเหนื่อยร้อนกันไป สวยแปลกตาดีครับ สะพานโบราณนะครับ เพิ่งจะสังเกตว่าสะพานโบราณนี้พิมพ์อยู่ในธนบัตรของกัมพูชาด้วย

พักเหนื่อยถ่ายรูปกันเป็นที่เรียบร้อยเราจะเดินทางไปที่สะพานไม้ไผ่ เมืองกำปงจาม จะอยู่ริมแม่น้ำโขงซึ่งต่างจากแม่น้ำโขงบ้างเรา น้ำเยอะมากครับ ถึงสะพานไม้ไผ่ก็ช่วงเย็นๆ จึงตัดสินใจขี่กันลงไปเลย ในใจก็คิดนะ พังไหม รถก็หนัก ตัวเราก็หนัก ตกน้ำไป ทำไง ใครจะช่วย พี่โอที่มากับเราบอกว่ารถบัส 15 ที่นั่งก็ยังผ่านไปได้ สักพักเห็น รถกระบะเครื่อง 5.7 ลิตรวิ่งข้ามสะพาน เสียงไม้ไผ่สีกันดังสนั่น ตัวผมก็แอบๆ ลุ้นว่าจะถึงไหม จนถึงฝั่งทางโน้นก็อุ่นใจ เอาว่ะลงก็ลง เรียกพวกลงไปในใจก็รอขี่กันอย่างตื่นเต้น เอ๊ะทำไมรถมันบีบแตรใส่อ่ะ ถึงบางอ้อเลยจ้า ขี่รถผิดฝัง คิดว่าอยู่ประเทศไทย 555 รีบเปลี่ยนให้ไว ก่อนจะโดนเบียดตกน้ำก่อน ขำตัวเอง ข้ามไปจนถึงฝั่ง ต้องบอกก่อนเลย เสียเงินนะครับ แต่มีทีมงานจ่ายไปให้ ไม่รู้ว่ากี่บาท ที่ข้ามมาเหมือนเป็นเกาะทรายแม่น้ำ มีหาดทราย ก็เอาสิคับรออะไร ควบ CRF250Rally ลงทรายไปเลย  ประมาณสัก 15 วินาทีได้ สวบเดียวรถปักทราย หล่นรถสิครับ การจะขี่บนผืนทรายนั้นจะต้องมีทักษะที่ถูกต้องครับ

ในใจก็คิดว่าซ้อมไว้ก่อน วันสุดท้ายเราจะไปขี่ที่ทะเลทรายขาวมุยเน่ที่เวียดนาม พายขาสิครับ รออะไร คนข้างๆ ก็ล้มกันใครจะช่วยเราได้ ผมเช็ครถว่าเป็นอะไรไหม ก็พบว่าไม่มีอะไรเสียหาย เหมือนออกแบบมาสำหรับลุยอยู่แล้ว ทุกอย่างปกติ แต่คนไม่ปกติแล้ว เหนื่อยมาก ผมได้รับคำแนะนำจากอาจารย์เล่ BIKELANE บอกถ้าขี่บนพื้นทรายต้องโน้มตัวไปข้างหลัง คันเร่งอย่าปิด เดินคันเร่งไปเรื่อยๆ เลี้ยวกว้างๆ จากนั้นผมก็ลองใหม่ คราวนี้ไปได้ครับ ทำตามที่บอก ขี่ได้รอบนึง พอก่อนรู้สึกหมดแรงแล้ว ตะวันเริ่มลับตาลงเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็น มองไปบนสะพานเห็นคนขี่มอเตอร์ไบค์กลับกัน พวกเราเองก็ได้เวลาแล้วเช่นกัน ข้ามสะพานไม้ไผ่กลับมาดื่มน้ำอ้อยสูตรกัมพูชา ก็เอะใจว่า ทำไมเปรี้ยวๆ ก็ถามพี่โยจากโมโตครอส ว่าเสียรึเปล่า เขาบอกว่าเป็นสูตรของทางนี้ เวลาคั่นน้ำอ้อยต้องใส่น้ำสับปะรดลงไปด้วยให้ได้รสชาติ แต่ก็กินไม่หมดนะ กลัวท้องเสีย เดียวเป็นภาระเพื่อนร่วมทริป  เดินทางไม่ถึง 2 กิโลเมตร เข้าที่พักวิวสวยติดริมแม่น้ำโขง เมืองนี้เป็นเมืองเงียบๆ ไม่วุ่นวาย ถ้าวุ่นวายก็คงเป็นใจของผม อยากจะออกไปเที่ยวข้างนอกทุกคืนแต่ทำไม่ได้ พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เดินทางไกลที่สุด ข้ามด่านกัมพูชาไปประเทศเวียดนาม ปลายทางคือเมืองฟานเที๊ยด

เช้าวันที่สาม 7 โมงเช้า ล้อหมุนออกจากโรงแรม บรี๊ฟกันอย่างเคร่งครัดเพื่อให้รู้ถึงกฏหมายของเวียดนาม คือความเร็วที่ใช้ได้คือ 60-70 กม./ชม. ขับออกจากโรงรมผ่านตลาดสดตอนเช้า เสียเวลาตรงนั้นไป 15-20 นาที คนเยอะมาก เดินกันไม่สนใจรถ ตำรวจไม่มี เรียกว่าเละเทะเลยดีกว่า พอจอดเติมน้ำมันกันก็ถามไกด์ว่า คนโคตรเยอะเลย ไหนจะมอเตอร์ไบค์อีก ไกด์บอกแค่นี้จิ๊บๆ เวียดนาม มากกว่านี้ 4 เท่า ผมนี่ตาโตเป็นนกฮูกเลย มาตั้งครึ่งทางละจะมายอมแพ้แค่นี้ได้ไง เราก็เดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เส้นทางเป็นเป็นเหมือนกระทะขนมครกเลย หลุมบ่อเพียบ ผมเลยใช้เป็นที่ซ้อมมือก่อนเข้าเวียดนาม ข้ามด่านมา แปะทะเบียนเวียดนาม ตรวจกระเป๋า เปลี่ยนซิม เตรียมพร้อมเดินทางเติมน้ำมันอีกรอบ ราคาน้ำมัน พอๆ กับบ้านเรา ถูกกว่ากัน 1 บาทไทย ขับไปอีกประมาณ 30-40 กิโลเมตรก็พักรับประทานอาหารกลางวัน ตอนนี้เรายังเจอรถไม่มาก ไกด์แนะนำว่าให้พร้อมบีบแตร พร้อมเข้าโฮจิมินห์ ผมเปิด GPS ดูก็แปลกๆ 400 กิโลกว่าๆ ทำไมใช้เวลา 9.30 ชั่วโมง บ้ารึป่าว ก็ไม่สนใจอะไร กินข้าวไปเรื่อยๆ ไกด์มาแนะนำอีกรอบเกี่ยวกับเมืองหลวงโฮจิมินห์ ประชากรอยู่ในเมือง 8 ล้านคน แต่มีมอเตอไบค์ 4 ล้านคัน ผมถึงกับสบถ

ออกจากที่ทานข้าวเที่ยง แม่เจ้า ยังไม่เข้าเมืองเลย รถมอเตอไบค์เยอะมาก แล้วก็ขี่กันช้ามาก (ถ้าเทียบกับไทยนะ) 60-70 ตลอดทาง บางเส้นทาง 40 กม./ชม. จะเลี้ยวก็เลี้ยวเลย เสียงแตรดังตลอดทาง เราเองก็กด กดทั้งคาราวาน วงเวียนวนกันแบบไม่สนใจไฟสัญญาณจราจร ไปได้ฉันก็ไป ไม่ได้เธอก็จะไป ลุ้นทุกวินาที แต่ดีที่ว่า CRF250Rally สูง เรายืนเราก็มองเห็นเพื่อนๆ ในขบวนขับแซงไปมา จนตามขบวนทัน มันส์มาก แต่ก็กลัวตำรวจจับ กลัวติดคุก เราก็พูดไม่รู้เรื่องด้วย ภาษาอังกฤษเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรา ขี่อย่างเดียว ตามองไปทางไหนก็มีแต่มอเตอไบค์ กลัวชนเขา หลบไปหลบมาตลอดทาง ฟ้าเริ่มมืดลง พวกเราพักเติมน้ำมัน กินซาลาเปาจัมโบ้หมูสับ 1ลูก ไม่กล้ากินเยอะกลัวจะง่วงหลับ หลุดมาจากเมืองหลวงได้ ประมาณ 100 กิโลเมตรกว่าๆ ใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง นานมาก เพราะเป็นเวลาเลิกงานด้วย แถมชานเมืองโรงงานเยอะมากด้วย อีกประมาณ 100 โลถึงเมืองฟานเที้ยต แต่ทางมืดลง แสงน้อย รถที่สวนทางมามีแต่รถลากพ่วง ไม่ต้องถามเรื่องไฟหน้าเลย มีแสบตาแน่นอน เรารีบเดินทางต่อ อีกนิดเดียว ขับกันเป็นขบวนตามๆ กันมาความเร็วคงที่ 70-80 กม./ชม. ทางมืดแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์มีมอเตอไบค์ย้อนศรมาตลอดทางอันตรายมาก คนข้ามถนนมืดๆ ไฟหน้า CRF250Rally ทำงานได้ดีสีขาวสว่าง แต่ก็ไม่ขี่เร็วพยายามรักษาขบวนตลอดทางเพื่อความปลอดภัย ขี่ไปสักพักได้กลิ่นน้ำทะเลก็ดีใจ ใกล้ถึงแล้วเพราะเมืองที่เราไปพักจะอยู่ใกล้กับทะเล และทะเลทรายขาวมุยเน่ ถึงที่พักก็ประมาณ 3 ทุ่มได้ ตามเวลาที่ GPS บอก 9 ชั่วโมงกว่าๆ จากชายแดนกัมพูชา ถึงที่พักคุยกันสนุกสนานเลยครับ พี่หมี สาคร พูดขึ้นมาบอกว่าขี่แรลลี่ยังไม่น่ากลัวเท่าขี่รถที่เวียดนาม คิดว่าจะได้กินซาลาเปาเป็นมื้อสุดท้ายซะแล้ว ตกค่ำฟ้ามืด มองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟเรือประมงไกวตามกระแสคลื่น พวกเราหลับพักออมแรงไว้ไปลุยพรุ่งนี้ต่อ

เช้าวันที่ 4 วันนี้เป็นวันที่ทุกคนรอคอยกับทะเลทรายมุยเน่ ซึ่งผมเคยเห็นแต่รูปยังไม่เคยมา ออกเดินทางจากโรงแรม ทีมงานบอกไปที่ทะเลทรายแดงกันก่อน เส้นทางสวยงามมากครับ ตลอดทางมีแต่ทะเลทราย เหมือนในรูปไม่มีผิด มองซ้ายขวาตลอดทาง สวยงามมากขี่ไปจนถึงทะเลทรายแดง ต้องงัดสกิลที่อาจารย์เล่สอนมา สนุกดีครับ แต่มีเส้นทางที่ทีมงานเตรียมไว้ให้ แต่น้อยคนจะลงไปทรายค่อนข้างร่วนและลึก ขี่เล่นข้างบนเอาแล้วกัน รอไปลุยทะเลทรายขาวทีเดียว เก็บแรงๆ หลังจากนั้นก็ขี่ไปทะเลทรายขาว สวยมาก สุดปลายสายตาก็มีแต่ทราย มีดงไม้อยู่นิดหน่อย อย่ากับในหนังภาพยนต์ อาจารย์อาร์ต ครูฝึกของทาง Honda เปิดคันเร่ง ยืนขึ้น และโน้มตัวไปข้างหลัง ทะยานออกไปอย่างกับขี่บนคอนกรีต บอกทุกคนสบายๆ

สักพักอาจารย์อาร์ตเข้ามา ถามว่าใครจะออกไปบ้าง ทุกคนเริ่มเอะใจ ทำไมถามแบบนี้ ในใจคิดผิดสินะเรา คิดว่าง่ายๆ ท่าทาง เกียร์ คันเร่ง การทรงตัว การเลี้ยว ต้องพร้อม สายตาต้องมองเป็น เอาวะ ยังไงก็ต้องขี่ มาถึงนี้แล้วต้องลองหน่อย เตรียมตัวขี่กันพร้อม มองไปไกลๆ ไม่มีใครขี่ตามมาเลย เปิดคันเร่งไปสัก 10 เมตรได้ รถจมทราย เปิดมากไปก็ปั่นจมทราย เปิดน้อยไปก็จม เบรคก็จม  ต้องพอดีๆ สุดท้ายพายขาไปจนถึง บางคนต้องถอยหลังไปเทคตัวออกจากคอนกรีตจะได้ลอยออกไปทีเดียว สนุกดีครับ ร้อนมาก แต่ลมพัดตลอดทั้งวัน ขี่เล่นได้สักพัก หมดแรงนั่งดูพี่ๆ เขาขี่กันสนุกดี แต่ ATV ก็สนุกดีมองๆ ไปมา เด็กเวียดนามพาผมซ้อน แม่เจ้าขึ้นไปบนภูเขาทรายสูงประมาณ ตึก 10 ชั้นเป็นหน้าผาตัดอยู่ดีๆ เลี้ยวลงเฉย ใจหายหมดเลย แต่ก็แปลกใจลงมาได้ยังไง ใจนี่อยู่ตาตุ่มเลย ไม่ได้เตรียมใจมาเจออะไรแบบนี้ ยังหันมาถามอีกนะว่าโอเคไหม

เรามาอยู่กลางทะเลทรายประมาณครึ่งวันได้ เต็มที่กันทุกคน ลืมบอกไปว่าที่เข้ามา ฟรีนะครับ ไม่เสียเงินสักบาท ถามทีมงานมาทีหลัง ฟรี น้ำมะพร้าวเย็นๆ ไป 1 ลูกก่อนไปทานอาหารเวียดนาม ริมชายทะเล วิวสวยมากครับ ขากลับแวะลำธาร นางฟ้าที่ต้องลงไปเดินตามลำธาร แช่น้ำเย็นๆ แล้วก็แวะดูหมู่บ้านประมง ที่ใช้กะละมังพายเรือหาปลา เป็นเอกลักษณ์ของเมือง มุยเน่ ประเทศเวียดนาม หมดวันกลับที่พักเข้าโรงแรม คุณอานพ พรประภา มาร่วมแสดงความยินดีกับกลุ่มคาราวานที่มาถึง แบบเป็นกันเอง อาหารทะเล ปิ้ง ย่าง โชว์รำเวียดนาม เต็มระบบ

ทริปครั้งนี้เป็นที่ประทับใจเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ขี่รถ ข้ามประเทศ ขี่รถกลางทะเลทราย ผ่าฝูงมอเตอไบค์เป็นล้านๆ คัน ขี่รถจากไทย – กัมพูชา – เวียดนาม  ด้วยรถ Honda CRF250Rally เครื่องยนต์ 250 ซีซี มาถึงได้โดยปลอดภัย ไม่มีเครื่องพัง ประหยัดน้ำมันดีครับ ตอบโจทย์สมชื่อ Rally 1,300 กิโลเมตร แบบไร้กังวล ต้องขอขอบคุณ A.P. Honda ที่เชิญเราเข้ามาร่วมทริปดีๆ แบบนี้ และชุดขับขี่จาก Alpinestars ทริปหน้าเจอกันใหม่ครับ

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้ 
ติดตาม Facebook SuperBike คลิกทีนี้ 

- Advertisement -
บทความก่อนหน้านี้
บทความถัดไป

บทความยอดนิยม

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่