นับตั้งแต่ปี 1923 ที่สัญญาณไฟจราจรแบบ 3 สี (เขียว-เหลือง-แดง) ถูกนำมาใช้งานอย่างเป็นทางการ โลกของเราก็ยึดถือมาตรฐานนี้มานานกว่าหนึ่งศตวรรษ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2568 ยุคที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles) กลายเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนน มาตรฐานเดิมๆ กำลังถูกท้าทายด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “White Phase” หรือสัญญาณ ไฟจราจรสีขาว
ทำไมต้องมีไฟสีที่ 4? เมื่อ “3 สี” ไม่เพียงพอสำหรับ AI
ในระบบจราจรปัจจุบัน มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจหลักเมื่อเห็นสัญญาณไฟ แต่สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ (AV) การรอสัญญาณไฟแบบเดิมถือเป็นความล่าช้าที่สูญเปล่า รถยนต์อัจฉริยะเหล่านี้มีระบบที่เรียกว่า V2X (Vehicle-to-Everything) ซึ่งช่วยให้รถแต่ละคัน “คุยกันเอง” ได้ผ่านโครงข่ายข้อมูล
นักวิจัยจาก North Carolina State University (NCSU) จึงเสนอการใช้ “ไฟสีขาว” เพื่อบอกให้คนขับที่เป็นมนุษย์ทราบว่า ณ ขณะนั้น “ระบบ AI กำลังควบคุมแยกนี้อยู่” และรถยนต์ไร้คนขับกำลังประสานงานกันเพื่อเคลื่อนตัวผ่านแยกไปโดยไม่ต้องรอจังหวะไฟเขียวไฟแดงแบบเดิม
หลักการทำงานของ White Phase: ขับตามคันหน้าคือคำตอบ
เมื่อรถยนต์ไร้คนขับวิ่งมาถึงสี่แยกในจำนวนที่มากพอ (Threshold) ระบบเซนเซอร์ที่ฝังอยู่ตามแยกจะเปลี่ยนสัญญาณไฟเป็นสีขาวทันที ในสถานะนี้ กฎการจราจรจะถูกเปลี่ยนชั่วคราวเป็น “Follow the leader” หรือการขับตามคันหน้า
-
หากรถคันหน้าขยับ: คุณขยับตามในความเร็วที่เหมาะสม
-
หากรถคันหน้าหยุด: คุณหยุดตาม
-
หากสัญญาณไฟกลับเป็นสีแดง/เขียว: ให้กลับไปใช้กฎการขับขี่ปกติ
การที่คอมพิวเตอร์เป็นผู้คำนวณระยะห่างและการออกตัวพร้อมๆ กันหลายคัน ช่วยลดปัญหา “Reaction Time” ของมนุษย์ที่มักจะออกตัวช้าหรือเว้นระยะห่างมากเกินไปจนทำให้รถติดสะสม
สถิติที่น่าทึ่ง ลดรถติดได้ถึง 94%
จากการจำลองสถานการณ์ผ่านโมเดลคอมพิวเตอร์ระดับสูง พบว่าหากบนถนนมีสัดส่วนของรถไร้คนขับเพียง 10% การใช้ไฟสีขาวจะช่วยลดความล่าช้าได้ประมาณ 3% แต่ถ้ามีรถไร้คนขับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ความล่าช้าจะลดลงอย่างก้าวกระโดด และในกรณีที่รถเกือบทั้งหมดเป็นระบบอัตโนมัติ การใช้ White Phase จะสามารถลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณคอขวดได้สูงสุดถึง 94%
นอกจากความรวดเร็วแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ “Efficiency” หรือประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะสามารถบริหารจัดการพลังงานได้ดีขึ้นเมื่อไม่ต้องเบรกและเร่งบ่อยๆ บริเวณทางแยก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Net Zero ที่ทั่วโลกกำลังผลักดันในปี 2025 นี้
กฎหมายจราจรไทยกับความท้าทายที่ต้องเผชิญ
กลับมามองที่ประเทศไทย แม้ปัจจุบัน พ.ร.บ. จราจรทางบก จะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น แต่กฎหมายไทยยังคงให้ความสำคัญกับ “ตัวบุคคล” หรือผู้ขับขี่เป็นหลัก การจะนำสัญญาณไฟที่ 4 มาใช้นั้นต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน:
-
มาตราการควบคุมรถ: หากเกิดอุบัติเหตุในช่วง “ไฟสีขาว” ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ระหว่างคนขับ, ค่ายรถยนต์ หรือหน่วยงานที่ควบคุมสัญญาณไฟ
-
ความหลากหลายบนถนน: ถนนเมืองไทยไม่ได้มีแค่รถยนต์ แต่ยังมีรถจักรยานยนต์ รถตุ๊กตุ๊ก และรถขนส่งสาธารณะที่อาจจะยังไม่มีระบบ V2X การสื่อสารที่ “ไม่ครบวงจร” อาจนำมาซึ่งความโกลาหลมากกว่าความสะดวก
ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครภายใต้โครงการ Smart Traffic ได้เริ่มติดตั้งกล้อง AI ตรวจจับปริมาณรถเพื่อปรับเวลาไฟเขียวไฟแดง (Adaptive Control) แล้วในหลายจุด แต่นั่นยังคงเป็นเพียงการปรับจากฐานเดิม (3 สี) ยังไม่ถึงขั้นการใช้ White Phase แบบเต็มรูปแบบ
ไฟสีขาวคือทางรอด หรือความเพ้อฝัน?
ต้องยอมรับว่าในเชิงทฤษฎี White Phase คือนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม แต่ในเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะในเมืองที่มีระเบียบวินัยจราจรที่ “ท้าทาย” อย่างประเทศไทย การบอกให้คนขับรถ “ขับตามคันหน้า” อาจนำไปสู่การเบียดเลน หรือการแทรกคิวบริเวณทางแยกได้หากระบบตรวจจับไม่แม่นยำพอ
อีกทั้งความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยี (Digital Divide) จะกลายเป็นกำแพงใหญ่ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไร้คนขับราคาหลักล้านได้ในเร็ววันนี้ การใช้ไฟสีขาวจึงอาจถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่เอื้อประโยชน์ให้กับ “คนรวย” ที่มีรถทันสมัย ในขณะที่รถเก่ารุ่นปู่ต้องคอยระแวงว่าจะขับตาม AI ทันหรือไม่
บทสรุป
ไฟจราจรสีขาว ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากยุคมนุษย์ควบคุม สู่ยุคที่ AI เป็นผู้จัดการพื้นที่ร่วมกันบนท้องถนน แม้ในประเทศไทยปี 2568 เราอาจจะยังไม่ได้เห็นไฟสีขาวทุกแยก แต่การเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องความเข้าใจในกฎเกณฑ์ใหม่ และการปรับปรุงกฎหมายให้รองรับเทคโนโลยี คือสิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทำ ก่อนที่เทคโนโลยีจะทิ้งเราไว้ข้างหลังท่ามกลางรถที่ติดหนึบเหมือนเดิม
อ่านข่าวมอเตอร์ไซค์อื่นๆ คลิกที่นี่



