ผมสัมผัสได้ถึงความว้าวุ่นตอนที่ผมมาถึงจุดตัดของถนน จุดที่ทางฝุ่นที่เต็มไปด้วยทรายที่ผมขี่มาป๊ะเข้ากับถนนลาดยาง
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_112.jpg)
ด้วยวิวทิวทัศน์อันน่าทึ่งของสเปนนั้นมันทำให้เส้นทางที่เราขี่อยู่นั้นเย้ายวนชวนให้เราลุยต่อไปยังอีกฝากนึงตลอดเวลา แต่ถ้าผมไม่ควบเจ้า Africa Twin Adventure Sports หันหลังกลับตอนนี้ล่ะก็ ผมจะไม่มีโอกาสไปต่อแถวถ่ายรูปในงานเปิดตัวครั้งนี้แน่
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_113.jpg)
นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ทาง Honda เลือกใช้ทดสอบ เป็นเพียงเส้นทางที่ผมขี่ออกมาคนเดียวเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากเส้นทางที่กำหนด แต่เท่านี้ผมก็สัมผัสได้ถึงความประทับใจที่ Adventure Sports คันนี้มี และมากพอที่จะทำให้ผมอยากจะลุยไปต่ออีกสักหน่อย เพื่อให้รู้ว่าเจ้า Honda Africa Twin คันนี้ดีสมกับชื่อที่เพิ่มเข้ามาใหม่นี้มากแค่ไหน
มันเป็นการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ถ้าจะให้ดีก็ขอให้ไกลกว่านี้อีกสักหน่อย มันถึงจะเหมาะกับเป้าหมายที่ Adventure Sports ถือกำเนิดขึ้นมา Africa Twin เจเนเรชั่นใหม่นี้เป็นที่นิยมขึ้นมานับตั้งแต่ที่มันเปิดตัวขึ้นมาสองปีก่อน มันเป็นการอัพเดทโมเดลระดับตำนานมากที่สุดโมเดลนึงของ Honda เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยและกระแสนิยม ทำให้ทางค่ายมีผู้มาร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดแอดเวนเจอร์ที่จริงจังเพิ่มขึ้นมา และขายไปได้กว่า 50,000 คันทั่วโลก โดยกว่าครึ่งนั้นเป็นยอดในยุโรป
แต่ในขณะที่การตัดสินใจครั้งสำคัญของ Honda ที่จะจู่โจมเจ้าตลาดที่มีเครื่องยนต์เกิน 1,000 ซีซีและเบากว่า ด้วยรถเครื่องยนต์สองสูบเรียงขนาด 998 ซีซีที่ทรงพลังน้อยกว่านั้นดูไม่ดีเท่าไหร่ เจ้า Africa Twin ที่กำเนิดมาใหม่ในตอนนั้นเองก็ดูมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอยู่บ้างอีกด้วย อาทิ ชิลด์บังลม ระยะที่วิ่งได้ต่อน้ำมันหนึ่งถัง ระยะยุบของระบบกันสะเทือนและระยะห่างจากตัวรถถึงพื้น ซึ่งล้วนแต่มีผลให้เกิดข้อจำกัดกับการเดินทางไกล โดยเฉพาะยิ่งเจอกับเส้นทางที่ยากลำบาก
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_109.jpg)
ยิ่งจะเห็นชัดเจนมากขึ้นเมื่อเอาไปเทียบกับ BMW R 1200 GS Adventure, KTM 1290 Super Adventure R และ Ducati 1200 Multistrada Enduro ดังนั้น Honda ก็เลยเลือกที่จะเปิดตัว Adventure Sports ในฐานะรถที่เหมาะกับทางฝุ่นและเดินทางไกลมากยิ่งขึ้น
โมเดลใหม่นี้มีพื้นฐานมาจาก Africa Twin และเป็นการอัพเดทรับปี 2018 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสำหรับเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 8 วาล์ว ยังคงเป็น Unicam และองศาของเพลาข้อเหวี่ยงก็ยังอยู่ที่ 270 องศา แต่กลไกในบาลานเซอร์นั้นเบาลงกว่าเดิม 300 กรัม ปากแตรยาวขึ้น (เพื่อเพิ่มกำลังในรอบกลาง) และระบบไอเสียก็เป็นของใหม่ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำให้แรงม้าเพิ่มขึ้น ยังคงอยู่ที่ 94 แรงม้าที่ 7,500 รอบ แต่แรงบิดสูงสุด 99 นิวตันเมตรนั้นมาเร็วกว่าเดิม 1,500 รอบ
การเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ก็คือ คันเร่งไฟฟ้า ซึ่งทำให้ได้โหมดการขับขี่มา 4 โหมดคือ Tour, softer Urban, off-road Gravel และตั้งค่าได้เอง การจะปรับเปลี่ยนโหมดก็ทำได้โดยการกดปุ่มที่แฮนด์ด้านซ้าย สามารถปรับกำลังเครื่อง เอ็นจิ้นเบรค และแทร็คชั่นคอนโทรลได้ ต่อมาก็จะสามารถปรับแต่งค่าต่างๆ ที่แฮนด์ด้านซ้าย ซึ่งทำงานได้ละเอียดมากขึ้น โดยอากาศการตัดการจ่ายน้ำมันและการจุดระเบิด
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_049.jpg)
ยังมีการเปลี่ยนแปลงในจุดอื่นๆ อีก เช่น พักเท้าที่กว้างขึ้น มีการออกแบบรูปทรงจุดยึดของพักเท้าคนซ้อนใหม่ที่ดีขึ้น ระบบอิเล็กทรอนิกส์เองก็ได้รับการอัพเดทด้วยเช่นกัน ก็จะมี ไฟเลี้ยวยกเลิกเองอัตโนมัติ และแผงเรือนใหม่ที่ออกแบบใหม่ให้ได้มุมมองที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นเวลายืนขี่ แบตเตอรี่ลิเธียมฯที่เบากว่าเดิม 2.3 กก. ล้อซี่สเตนเลสที่ทนทานต่อมากกว่าโมเดลเดิม
Adventure Sports มีแฟริ่งที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและชิลด์หน้าก็สูงขึ้น แครชบาร์รอบแฟริ่ง การ์ดอกไก่อลูมิเนียม มีถังน้ำมันใหญ่ขึ้น 5.4 ลิตร กลายเป็น 24.2 ลิตร โดยที่ยังคงความเพรียวและความหล่ออยู่ได้ และที่พิเศษคือการนำชุดสีน้ำเงิน ขาว และแดงมาใช้อีกด้วย
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_026.jpg)
แชสซีก็มีการเปลี่ยนแปลงระบบกันสะเทือน Showa ที่มีระยะยุบเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 20 มม.ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (หน้า 224 มม. หลัง 240 มม.) โช้คนั้นปรับค่าต่างๆ ได้เช่นเดียวกับโมเดลเก่า แต่ยังไม่มีระบบปรับไฟฟ้าแต่อย่างใด และเพื่อให้ง่ายกับการขับขี่เวลายืน แฮนด์บาร์จึงสูงขึ้น 32.5 มม.และโน้มเข้าหาตัว 5 มม. เบาะนั่งปรับได้แบนราบมากขึ้น และสูงขึ้น 50 มม. เป็น 900 มม. หรือ 920 มม.
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_037.jpg)
ทำให้ Adventure Sports สูงขึ้นมาก ยากที่จะขึ้นคร่อมมากขึ้นไปอีก (มีเบาะแบบต่ำเป็นของแต่งให้เลือกซื้อ) ถึงคุณจะตัวสูงก็ตาม แต่ด้วยการที่มันเพรียว และน้ำหนัก 243 กก. ที่ไม่หนักมากนัก (ถ้าใช้ระบบ Dual Clutch Transmission ก็จะหนักเพิ่มอีก 10 กก.) ทำให้มันคล่องตัวและเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ตอนที่เราออกจากจุดเริ่มต้นบนเทือกเขาทางตอนเหนือของ Malaga ที่อยู่ทางตอนใต้ของสเปน
ผมก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าความยืดหยุ่น คาแรกเตอร์และพละกำลังที่พอประมาณของเครื่องยนต์ 2 สูบเรียงคือสเน่ห์หลักของมัน การตอบสนองของคันเร่งทำได้ดี และท่อไอเสียใหม่เองก็คำรามดังอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยให้มันมีคาแร็กเตอร์ที่ขี่แล้วสนุกไปกับรถมากยิ่งขึ้น
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_121.jpg)
ตัวรถเริ่มมีกำลังดีตั้งแต่รอบต่ำเพียง 2,000 รอบในช่วงเกียร์ต่ำๆ เร่งความเร็วได้ดีในช่วงรอบกลางๆ และขี่ได้แบบสบายๆ ชิลล์ๆ ที่ 130 กม./ชม. ซึ่งสามารถไต่ท็อปสปีดไปได้ถึงราวๆ 200 กม./ชม. มันคล่องตัวมากกว่าจะรวดเร็ว แต่มันก็เร็วพอที่จะขี่ได้สนุก และเป็นข้ออ้างที่ดีที่คุณจะได้ใช้เปิดคันเร่งอยู่ตลอด
เครื่องยนต์ของมันนั้นนุ่มนวลจนคุณแทบจะไม่ต้องการอะไรนอกจากการปรับโหมดไปที่ Tour เวลาขี่บนถนน โดยโหมด Urban ระดับ 2 คันเร่งจะตอบสนองช้าลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จุดที่แตกต่างมากคือโหมด Gravel ซึ่งจะลดการตอบสนองของคันเร่งลงมากถึง 3 ระดับ ไว้ใช้กับทางที่ลื่นมากๆ หรือทางฝุ่นทางทรายเท่านั้น ระดับของเอ็นจิ้นเบรคและแทร็คชั่นคอนโทรลเองก็ฟิกซ์อยู่กับโหมดการขับขี่ทั้ง 3 โหมดด้วย
ผมรู้สึกว่ามันน่าหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะเอ็นจิ้นเบรคนั้นน้อยไปเวลาใช้โหมด Tour และ Urban ดังนั้นผมก็เลยต้องวเลือกโหมดปรับเอง ซึ่งทำให้ผมสามารถเลือกระดับ 1 ได้ โดยในระดับนี้จะสัมผัสได้ถึงเอ็นจิ้นเบรคที่พอเหมาะเวลาที่ปิดคันเร่ง แทร็คชั่นคอนโทรลที่ใช้งานร่วมกับโหมดการขับขี่ทั้ง 3 นั้นก็รบกวนมากเพราะค่าเดิมนั้นอยู่ที่ระดับ 6 ซึ่งสูงมาก แต่สามารถปรับลดได้โดยใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายโยกเอาไม่กี่ครั้ง แต่ทำไมไม่ยอมให้ผู้ใช้ปรับจูนแต่ละโหมดได้อิสระแบบ Ducati บ้างนะ?
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_023.jpg)
ในวันที่ลมแรงนั้นผมค่อนข้างผิดหวังกับ Adventure Sports ที่ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาที่ Africa Twin นั้นโดยวิพากษ์ไปอย่างหนักในเรื่องของลม แม้จะมีชิลด์หน้าปรับได้ซึ่งสูงกว่าเดิม 80 มม. แต่ยังเตี้ยกว่าของแต่งเสริม ผมชอบชิลด์แต่งมากกว่า เพราะของเดิมมันยังไม่พอ เพราะมันยังทำให้เกิดกระแสลมปะทะที่จะทำให้รู้สึกเหนื่อยเวลาขี่ทางไกล
Kenji Morita หัวหน้าโปรเจ็กต์กล่าวว่าพวกเขาเลือกใช้ชิลด์ปรับระดับได้ก่อนที่จะเลือกหันมาใช้อะไรที่ง่ายๆ และน้ำหนักเบาแทน (น่าจะเพื่อลดต้นทุนด้วย) แต่เมื่อคู่แข่งที่เป็นแอดเวนเจอร์ไบค์ด้วยกันมีชิลด์หน้าที่ดีกว่า ปรับได้ด้วยมือเดียว การที่มันปรับไม่ได้ก็เลยกลายเป็นข้อด้อยไป เช่นเดียวกันกับการขาดระบบครูซคอนโทรลซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะเรื่องต้นทุน ในทางตรงกันข้ามผมดีใจมากๆ ที่รถเดิมๆ นั้นมีฮีทกริ๊ปมาให้ด้วยเลย ถึงแม้ว่าจะปรับไปที่ร้อนสุดก็ยังจะดูไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ก็เถอะ
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_015.jpg)
ลูกเล่นอื่นๆ ก็ถือว่ามีประโยชน์แต่ยังไม่ลงตัว มันมีช่องจ่ายไฟที่เรือนไมล์ แต่ไม่มีช่อง USB หรือช่องเก็บของสำหรับมือถือ มันมีช่องเก็บของด้านขวาของเบาะนั่ง ซึ่งน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Africa Twin โมเดลแรก แต่แทนที่มันจะล็อกได้ มันกลับถูกปิดด้วยสกรูหัวจมแทน ซึ่งไม่สะดวกแล้วก็ไม่ปลอดภัยเอาซะเลย สำหรับผมการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของเรือนไมล์ดีมากช่วยให้เห็นได้ชัดเจน แต่หากเป็นคนร่างเล็กแล้วล่ะก็มุมของหน้าจอก็จะสะท้อนแสงทำให้มองไม่เห็นได้ในบางคนบางมุม
อย่างน้อยๆ ถังน้ำมันใหม่นี่ก็จุได้มาก มีขนาด 24.2 ลิตรเพียงพอที่จะขี่ได้เกิน 500 กม.ได้สบายๆ ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยน 4.6 ลิตรต่อ 100 กม. ถ้าคุณเชื่อ Honda นะ แต่ผมก็ทำตัวเลขได้ที่ 5.7 ลิตรต่อ 100 กม. ซึ่งเพียงพอกับการทำระยะ 400 กม.ได้สบายๆ อีกฟังก์ชั่นนึงที่มีประโยชน์คือแร็คท้ายซึ่งยื่นออกมาสูงระดับเดียวกับเบาะนั่งคนซ้อน ฟอร์มตัวเป็นฐานเหมาะกับการใช้เป็นที่รัดหรือยึดกระเป๋าขนาดใหญ่
แม้จะเป็น Africa Twin ที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว แต่มันก็ยังมีข้อให้ติอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยอมรับได้ง่ายๆ เมื่อเครื่องยนต์และแชสซีของมันทำงานได้ดีทั้งในแบบออนโร้ดและออฟโร้ด บนทางดำนั้นความเสถียรของ Honda ที่ย่านความเร็วสูงนั้นทำได้ดีมากๆ และล้อหน้าที่แคบยังช่วยให้บังคับเลี้ยวได้เบา แม้จะมีขนาดใหญ่ 21 นิ้วก็ตาม
แม้จะมีระยะยุบที่มากขึ้นแต่ไม่ได้ส่งผลกับการขับขี่บนท้องถนน แน่นอนว่ามีระยะให้โช้คยุบเวลาเบรคหนักๆ มากขึ้น ระบบเบรคยังคงเป็นดิสก์เบรคคู่ขนาด 310 มม.พร้อมคาลิเปอร์เบรค Nissin แบบเรเดียล 4 พ็อต ถ้ากำเบรคแรงพอที่จะเปิดระบบฉุกเฉินล่ะก็ไฟเลี้ยวด้านหลังทั้งสองดวงจะกระพริบ แต่โช้คหน้าใหม่ที่มีค่าแดมปิ้งมากขึ้น โดยเฉพาะตอนยุบ ช่วยให้รถนั้นนิ่งกว่าเดิมมากๆ แม้จะต้องเจอกับถนนที่คดเคี้ยวก็ตาม
ล้อที่แคบช่วยให้เจ้า Adventure Sports บังคับได้ดีมากๆ แม้แต่บนทางฝุ่น โดยเฉพาะตอนที่เปลี่ยนไปใช้ยางหนามสำหรับลุย มันให้การยึดเกาะที่ดีบนทางที่เป็นดินปนทรายและเปียกชื้น ซึ่งโหมด Gravel จะช่วยให้คุณขี่ได้ดีขึ้น แต่ผมชอบที่จะผสมผสานในแบบของผมเองเพื่อที่จะรักษาเอ็นจิ้นเบรคเอาไว้ในโหมดผู้ใช้ปรับเอง
บนทางฝุ่นนั้นกำลังที่ดีในรอบต่ำ การจ่ายน้ำมันที่ต่อเนื่อง และน้ำหนักเบาของ Africa Twin นั้นตอบโจทย์มากๆ นอกจากนี้ยังรู้สึกได้ถึงบาลานซ์และคุณภาพของระบบกันสะเทือนที่สามารถซับแรงกระแทกโดยที่ยังคงรักษาสมดุลไว้ได้ดีมากกว่าโช้คในโมเดลเก่า ผมนั้นไม่เคยเชื่อใจแทร็คชั่นคอนโทรลสักเท่าไหร่ แต่มันก็ช่วยเราได้บ้างผมก็เลยปรับเอาไว้น้อยๆ ระบบเบรค ABS ซึ่งสามารถปิดที่ล้อหลังได้ แต่ปิดล้อหน้าไม่ได้ ก็ทำงานได้ดีเวลาขี่บนทางฝุ่น
การออกแบบเชิงสรีระฯเองก็ดีขึ้น แฮนด์บาร์ที่สูงขึ้นทำให้คุณไม่ต้องโน้มตัวลงไปมากเวลาที่คุณยืนขี่ ความกว้างที่มากช่วยให้ควบคุมได้ง่ายและได้ท่วงท่าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ผมยังรู้สึกดีที่รถมีแครชบาร์และการ์ดอกล่างมาด้วย เพราะครั้งล่าสุดที่ผมขี่เจ้า Africa Twin ลุยออฟโร้ดนั้นผมตำเข้ากับร่องแคบๆ จนครอบเครื่องเป็นรูเพราะหินคมๆ
ระบบ DCT รุ่นใหม่ของ Honda เองก็น่าประทับใจด้วยเช่นกัน ในโมเดลธรรมดายังมีระบบเกียร์ 6 สปีดเองก็ใช้งานได้ดี และสามารถติดตั้งควิกชิฟเตอร์เพิ่มเติมได้ บนทางฝุ่นนั้นระบบ DCT ทำให้ผมเลิกกังวลเรื่องรองเท้าโมโตครอสที่เทอะทะและไม่ยืดหยุนไปได้เลยและขี่รถไปได้เหมือนรถออโตเมติกเลย บางครั้งก็มีกดปุ่มด้วยนิ้วโป้งซ้ายบ้างเวลาจะเข้าโค้งเพื่อที่จะได้เปลี่ยนเกียร์ลงมา
กดปุ่ม G บนเรือนไมล์จะช่วยให้ได้แรงขับเคลื่อนมากขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้พบว่าระบบ DCT จะมีปัญหาหรือหน่วงอะไรนะแม้จะไม่ต้องกดปุ่ม G ก็เถอะ มีบ้างที่เปลี่ยนเกียร์ขึ้นเร็วไปเล็กน้อย แม้แต่ในโหมดสปอร์ตที่ดุดันที่สุด (DCT นั้นสามารถใช้แบบปรับเปลี่ยนเกียร์เองได้โดยใช้นิ้วชิ้และนิ้วโป้งปรับเปลี่ยน) บางครั้งการเปลี่ยนเกียร์โดยใช้คลัทช์ช่วยแบบเดิมๆ ก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะบนเส้นทางที่ลื่นหรือว่ามีความยากลำบากมาก นอกจากว่าผมจะต้องไปขี่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนั้นบ่อยๆ จริงๆ ผมก็คงต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้สามารถขี่บนทางออฟโร้ดได้ง่ายมากขึ้น
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_028.jpg)
มันเป็นเรื่องยากที่จะคิดหาแอดเวนเจอร์ไบค์คันนึงที่สามารถขี่ได้สนุกหรือว่าขี่ได้บนเส้นทางฝุ่นที่ขรุขระได้รวดเร็ว ตอนที่ผมไปเจอเส้นทางที่เย้ายวนชวนให้ผมลุยต่อจนกระทั่งน้ำมันแทบหมดถัง เจ้า Adventure Sports ไม่สามารถที่จะลบข้อด้อยทั้งหมดที่ Africa Twin มี แต่มันก็เพิ่มระยะทางที่วิ่งได้ ความพร้อมที่จะลุย และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เป็นประโยชน์ ซึ่งก็ทำให้มันกลายเป็นรถที่มีระดับและมีความรอบด้านมากพอแล้วล่ะครับ
Kenji Morita, หัวหน้าโปรเจ็กต์ Africa Twin Adventure Sports กล่าวว่า
“เราคาดหวังไว้สูงมากสำหรับ Africa Twin แต่มันก็ทำยอดขายได้ดีมากและได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากมายเช่นกัน เราไม่ได้มีแพลนว่าจะพัฒนาโมเดลที่ 2 แต่ปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อคอนเซ็ปต์ไบค์ Adventure Sports ที่ไปโชว์ตัวในงาน EICMA 2015 ปีเดียวกับที่เราเปิดตัว Africa Twin นั้นดีมากๆ ดังนั้นเราก็เลือกที่จะพัฒนาต่อ
“ฟังก์ชั่นที่สำคัญที่สุดของ Adventure Sports คือถังน้ำมันขนาดใหญ่และท่านั่งขับขี่ ซึ่งทางทีมพัฒนาเลือกขึ้นมา แต่รถเองก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ตามที่เราได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าและสื่อ เช่น การมองเห็นเรือนไมล์ พักเท้าที่กว้างขึ้น และจุดยึดพักเท้าที่แข็งแรงขึ้นโดยเปลี่ยนเป็นเหล็กกล้าแทนที่จะเป็นอลูมิเนียม
“เราพบว่าผู้ใช้ Africa Twin หลายคนทั่วโลก เอารถไปขี่ออฟโร้ดและบางครั้งก็เลือกที่จะขี่ในประเทศมากกว่าจะเดินทางไปไกลๆ แต่ก็เลือกเป็นเส้นทางออฟโร้ดมากที่สุดที่พวกเขาจะทำได้ พวกเขาร้องขอฟังก์ชั่นที่ทำให้รถขี่ได้ไกลขึ้น และนั่นคือแรงผลักดันของเรา เราคิดแล้วว่าชิลด์หน้าปรับระดับได้ แต่เราต้องการให้รถทนทาน เบาและไร้ปัญหาให้มากที่สุด ดังนั้นเราก็เลยใช้ชิลด์ธรรมดาแทน
“ไรดิ้งโหมดและระบบกันสะเทือนเองก็ทำนองเดียวกัน เราคิดว่าทำให้มันง่ายเข้าไว้ ยังคงโหมดขับขี่ไว้ โดยให้มีโหมดที่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้เอง แม้ว่าเทรนด์ในตลาดรถแอดเวนเจอร์จะมุ่งไปที่โช้คไฟฟ้ากันแล้ว แต่โช้คแบบดั้งเดิมก็มีข้อดีในแง่ของความเรียบง่ายและน้ำหนักเบา
“แนวคิดนี้สำคัญมากกับ Africa Twin แอดเวนเจอร์ไบค์บางคันนั้นใหญ่เทอะทะกว่าและทรงพลังมากกว่า แต่ Africa Twin นั้นอยู่ในตลาดอีกกลุ่มเป้าหมายที่ต่างออกไป ดังนั้นเราไม่มีความคิดที่จะทำให้มั่นใหญ่ขึ้นหรือแรงมากขึ้นกว่านี้ เราเลือกที่จะโฟกัสไปในสิ่งที่เรามีและพัฒนาทั้ง 2 โมเดลนี้ให้ดี แทนที่จะไปขยายความจุ”
![](https://www.superbikemag.com/wp-content/uploads/2018/12/Ho_ATwinAdvSpt_125.jpg)
The 2018 Africa Twin
ในงานเปิดตัวยังมีโอกาสให้เราได้ขับขี่ Africa Twin ที่อัพเดตใหม่รับปีใหม่ในแบบเส้นทางออฟโร้ดเป็นระยะทางสั้นๆ อีกด้วย แม้จะใส่ยางที่เน้นขี่ถนน แทนที่จะเป็นยางหนามแบบตอนที่เราขี่ Adventure Sports ผมได้เห็นนักทดสอบคนแรกขี่ล้มสไลด์ในโค้งที่เต็มไปด้วยโคลนก็เป็นการคอนเฟิร์มได้อย่างชัดเจนว่าแครชบาร์นั้นดีมีค่าแค่ไหน ยิ่งได้เห็นว่ารถนั้นมีรอยเสียหายแค่เพียงก้านคลัทช์เท่านั้นด้วย ยิ่งรู้สึกคุ้ม
ทั้งๆ ที่มันไม่ค่อยมีการยึดเกาะ แต่ Africa Twin นั้นมีน้ำหนักเบาลง 11 กก.แม้จะเติมน้ำมันจนเต็มถังแล้ว เบาะนั่งเองก็ต่ำกว่า 50 มม. ดังนั้นนักบิดร่างเล็กก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น สำหรับขับขี่ทางไม่ไกลมากนั้นจัดได้ว่าเยี่ยมเลย โดยเฉพาะถ้าคุณชอบชิลด์หน้าที่ไม่สูง
แต่สำหรับนักบิดส่วนใหญ่ Adventure Sports ที่ทำระยะทางได้มากขึ้นและกันล้มที่มีมาให้นั้นตอบโจทย์มากกว่า และอุ่นมือรวมไปถึงช่องจ่ายไฟก็มีประโยชน์มากๆ ทำให้มันมีราคาถูกกว่าค่ายอื่นๆ อยู่พอสมควร ไม่ว่าจะโมเดล DCT หรือเกียร์ธรรมดาก็ดูคุ้มค่า มีก็แต่ความสูงของมันที่ดูจะเป็นข้อด้อยสำคัญในโมเดลนี้
ดูการทดสอบรถบิ๊กไบค์ต่างๆ คลิก