นาทีนี้ไม่มีประเด็นไหนในวงการยานยนต์ร้อนแรงไปกว่ากรณีที่ลูกค้าผู้สั่งจองรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ JAECOO และ OMODA ต้องเดินทางไปรับรถด้วยตนเอง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้เกิดฟีเวอร์ JAECOO รับรถที่ท่าเรือ ภาพของเจ้าของรถใหม่ที่ยืนรับมอบกุญแจท่ามกลางแดดจ้าและลานจอดรถที่เต็มไปด้วยฝุ่น ไม่เพียงแต่สร้างความมึนตงให้กับผู้พบเห็น แต่ยังเป็นการตบหน้าการตลาดแบบ “Premium Off-road” ที่แบรนด์พยายามสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความไม่สะดวกสบาย แต่มันคือการเผยให้เห็นถึง “รอยร้าว” ในระบบการบริหารจัดการหลังบ้านที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว
เมื่อยอดจองแซงหน้าความสามารถในการส่งมอบ
สาเหตุแรกที่มองเห็นได้ชัดคือปัญหา “คอขวด” ในระบบโลจิสติกส์ การที่ OMODA & JAECOO (Thailand) ตัดสินใจนำเข้ารถยนต์แบบ CBU (Completely Built Up) จากประเทศจีนเข้ามาในปริมาณมากเพื่อตอบสนองต่อยอดจองที่ถล่มทลายในช่วงเปิดตัว เป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องในเชิงการตลาด แต่กลับสอบตกในเชิงปฏิบัติการ เมื่อระบบการกระจายรถจากท่าเรือไปยังโชว์รูมดีลเลอร์ทั่วประเทศไม่สามารถรองรับปริมาณรถจำนวนมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น
ปัญหาขาดแคลนรถเทรลเลอร์สำหรับขนส่งรถยนต์ (Car Carrier) เป็นปัจจัยภายนอกที่แบรนด์อาจนำมาอ้างได้ แต่ในฐานะมืออาชีพ การบริหารจัดการ “Last-mile delivery” คือความรับผิดชอบพื้นฐานที่แบรนด์ต้องรับผิดชอบ การผลักภาระให้ลูกค้าเดินทางไปรับรถเอง ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่เรียกว่า “Fast Track” แต่มันคือการยอมรับโดยดุษฎีว่า “เราไม่มีปัญญาบริหารจัดการขนส่งให้ถึงมือคุณ”
มาตรฐาน PDI ที่หายไป ความปลอดภัยที่ประเมินค่าไม่ได้

ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก่อนส่งมอบคือ PDI (Pre-Delivery Inspection) หรือการตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด 100% ตั้งแต่ระบบซอฟต์แวร์ แรงดันลมยาง ของเหลว ไปจนถึงตำหนิบนสีรถ โดยปกติขั้นตอนนี้ต้องทำในโรงพยาบาลรถยนต์หรือโชว์รูมที่มีเครื่องมือพร้อมและในสภาวะที่ควบคุมได้
เมื่อการส่งมอบย้ายไปอยู่ที่ท่าเรือ คำถามที่ตามมาคือช่างเทคนิคได้ตรวจสอบรถคันนั้นอย่างละเอียดจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงการเช็ดฝุ่นและส่งกุญแจให้? หากลูกค้าขับรถออกจากท่าเรือแล้วพบว่ามอเตอร์มีปัญหา หรือระบบเบรกทำงานผิดพลาดกลางทาง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและสัญญามาตรฐานจองรถยนต์ การส่งมอบต้องทำในสถานที่ที่ตกลงกันไว้และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสมบูรณ์ การ “แกมบังคับ” ให้รับรถที่ท่าเรือจึงเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานที่ผู้บริโภคพึงมี
ดีลเลอร์มีแต่ชื่อ? หรือโชว์รูมยังสร้างไม่เสร็จ
ประเด็นถัดมาที่ต้องขยี้คือ “ความพร้อมของเครือข่าย” OMODA & JAECOO ประกาศเปิดตัวดีลเลอร์จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น แต่ในความเป็นจริง โชว์รูมและศูนย์บริการหลายแห่งอาจยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างหรือปรับปรุง ทำให้ไม่มีพื้นที่เพียงพอในการสต็อกรถหรือเตรียมรถเพื่อส่งมอบ สถานการณ์นี้สะท้อนถึงการเร่งโตที่ขาดรากฐานที่แข็งแกร่ง (Overexpansion) การมีเพียงชื่อโชว์รูมบนแผนที่ แต่ไม่สามารถส่งมอบรถตามมาตรฐานได้ คือการหลอกลวงความรู้สึกของผู้บริโภคที่ยอมจ่ายเงินหลักล้านด้วยความมั่นใจ
เปรียบเทียบมาตรฐาน ค่ายจีนรายอื่นเคยทำแบบนี้ไหม?

หากย้อนดูประวัติศาสตร์ค่ายรถจีนรายอื่นที่เข้ามาบุกตลาดไทยอย่าง BYD, GWM หรือ MG แม้ในช่วงที่ยอดจองถล่มทลายและประสบปัญหาขาดแคลนรถส่งมอบอย่างหนัก เราแทบไม่เห็นภาพการปล่อยให้ลูกค้ารับรถเองที่ท่าเรือในลักษณะนี้ ค่ายเหล่านั้นเลือกที่จะยอมให้ลูกค้ารอนานขึ้น หรือใช้วิธีการส่งมอบผ่านดีลเลอร์ที่เป็นพันธมิตร เพื่อรักษา “แบรนด์ดิ้ง” และ “ความปลอดภัย” การที่ JAECOO เลือกใช้เส้นทางลัดนี้ จึงถูกตั้งคำถามว่าเห็นแก่ “ตัวเลขยอดจดทะเบียนประจำเดือน” มากกว่า “คุณภาพชีวิตของลูกค้า” ใช่หรือไม่?
บทวิเคราะห์ พรีเมียมแค่ชื่อ แต่การบริการแบบ Self-service
การทำตลาดแบรนด์ JAECOO ถูกวางตำแหน่งไว้เป็น “High-end Off-road” ที่เน้นไลฟ์สไตล์เหนือระดับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับเป็นภาพที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง การให้ลูกค้ารับรถที่ท่าเรือคือประสบการณ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานรถยนต์ระดับ Mass ทั่วไปด้วยซ้ำ มันคือการลดเกรดแบรนด์ให้กลายเป็นการ “ขายตัดราคา” หรือ “ขายตามสภาพ” ที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับรถป้ายแดง
ประชาชนและผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อเริ่มมีการตั้งคำถามในโซเชียลมีเดียว่า “ถ้าแค่วันส่งมอบยังจัดการได้เท่านี้ แล้วบริการหลังการขายในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?” นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้บริหาร OMODA & JAECOO (Thailand) ต้องออกมาให้คำตอบที่ไม่ใช่แค่การแถลงการณ์ปลอบใจ แต่ต้องเป็นการ Action ที่เป็นรูปธรรม

กฎหมายจราจรและข้อสัญญา สิทธิที่ผู้ซื้อต้องรู้
ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจองเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2551 (และฉบับปรับปรุง 2561) ผู้บริโภคมีสิทธิปฏิเสธการรับมอบหากรถยนต์ไม่ตรงตามมาตรฐาน หรือสถานที่ส่งมอบไม่เป็นไปตามสัญญา นอกจากนี้ การขับรถออกจากท่าเรือโดยที่ยังไม่มีการจดทะเบียน หรือไม่มีความคุ้มครองที่ชัดเจนในสัญญาส่งมอบ อาจทำให้เกิดปัญหาทางข้อกฎหมายได้หากเกิดอุบัติเหตุ
บทเรียนราคาแพงและการกู้คืนศรัทธา
เหตุการณ์ JAECOO รับรถที่ท่าเรือ คือบทเรียนสำคัญของค่ายรถหน้าใหม่ว่า “ความเร็ว” ไม่สามารถแทนที่ “มาตรฐาน” ได้ การจะยืนระยะในตลาดประเทศไทยที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงและมีทางเลือกมากมาย แบรนด์ต้องให้ความสำคัญกับ Ecosystem ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ตัวรถที่สวยงามหรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
สิ่งที่แบรนด์ต้องรีบทำคือ:
-
หยุดการส่งมอบที่ท่าเรือทันที: และกลับมาสู่กระบวนการส่งมอบผ่านโชว์รูมที่มีมาตรฐาน
-
ชดเชยเยียวยา: ลูกค้าที่รับรถไปแล้วควรได้รับสิทธิพิเศษในการตรวจเช็กสภาพ (Full Inspection) ฟรีอีกครั้งที่ศูนย์บริการ เพื่อยืนยันความปลอดภัย
-
สื่อสารอย่างจริงใจ: ยอมรับข้อผิดพลาดและแสดงแผนการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ที่ชัดเจน
หากยังปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ชื่อของ JAECOO และ OMODA อาจกลายเป็นเพียง “บทเรียน” ในตำราการตลาดถึงความล้มเหลวของแบรนด์ที่ไม่เห็นค่าความรู้สึกของลูกค้าชาวไทย
อ่านข่าวมอเตอร์ไซค์อื่นๆ คลิกที่นี่


