หากจะพูดถึงรถจักรยานยนต์ที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งใหญ่ที่สุดของวงการมอเตอร์ไซค์ไทยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธชื่อของ Yamaha Fino (ยามาฮ่า ฟีโน่) รถออโตเมติกทรงโมเดิร์นคลาสสิกที่เข้ามาทำลายภาพลักษณ์รถแม่บ้านแบบเดิมๆ จนราบคาบ ทว่าในวันที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2568 เราต้องยอมรับความจริงที่น่าใจหายว่า “ยุคสมัยของฟีโน่ได้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว” พร้อมกับการส่งมอบจดหมายลาฉบับสุดท้ายในชื่อ Final Edition
ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ต้นกำเนิด “ออโตเมติกแฟชั่น” ปี 2006
ย้อนกลับไปในปี 2549 (2006) ในวันที่ท้องถนนไทยยังเต็มไปด้วยรถครอบครัวทรงมาตรฐาน Yamaha ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนด้วยการเปิดตัว Fino รุ่นแรก เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ 115 ซีซี ดีไซน์ไฟหน้าแยกส่วนทรงกลมโตสไตล์ยุโรป (Neo-Classical) สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การขายพาหนะ แต่มันคือการขาย “Lifestyle” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วัยรุ่นไทยแห่กันซื้อรถมาเพื่อ “แต่งสวย” มากกว่าการใช้งานบรรทุกของ จนเกิดกระแสการแต่งรถหลากสไตล์ ทั้งสไตล์ Retro, Sport หรือแม้แต่ลายการ์ตูนยอดฮิต
วิวัฒนาการเครื่องยนต์ จากคาร์บูฯ สู่ Blue Core 125cc
ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา Fino ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา แต่มีการปรับปรุงสมรรถนะตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง:
-
ยุคบุกเบิก (2006-2012): เครื่องยนต์ 115 ซีซี คาร์บูเรเตอร์ ที่เน้นการออกตัวที่นุ่มนวล แม้จะมีเสียงสะท้อนเรื่องอัตราบริโภคน้ำมันบ้าง แต่ความง่ายในการซ่อมบำรุงทำให้มันกลายเป็นขวัญใจช่างทั่วประเทศ
-
ยุคหัวฉีด YMJET-FI: การปรับเข้าสู่ระบบหัวฉีดเพื่อตอบโจทย์ความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
-
ยุคล่าสุด (2015-2568): การมาของเครื่องยนต์ Blue Core 125cc ที่ผสานประสิทธิภาพการเผาไหม้ดีเยี่ยมและการระบายความร้อนด้วยกระบอกสูบไดอะซิล (DiASil) ให้ทั้งความแรงและความประหยัดที่โดดเด่น
Yamaha Fino Final Edition จดหมายลาอันล้ำค่า
ในวาระครบรอบ 60 ปีของไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ทางค่ายได้ตัดสินใจผลิต Yamaha Fino Final Edition รุ่นสุดท้ายเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ โดยจำกัดจำนวนเพียง 999 คัน ทั่วโลก มาพร้อมเอกลักษณ์ความพรีเมียม:
-
Limited Number Emblem: โลโก้สีทองพร้อมหมายเลขรันนิ่ง (001-999) ระบุความพิเศษเฉพาะคัน
-
Original Black Color: การใช้โทนสีดำ-กรมท่าสุดคลาสสิกที่สะท้อนถึงรุ่นแรกในอดีต
-
Full LED & Duo Meter: ไฟหน้าโปรเจกเตอร์และหน้าปัดแยกส่วนอันเป็นลายเซ็นของฟีโน่
ปัจจุบันในปี 2568 รถรุ่นนี้ได้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่ม (Appreciation Asset) ราคาในตลาดนักสะสมพุ่งทะยานจากราคาเปิดตัว 50,900 บาท ไปไกลกว่านั้นหลายเท่าตัว
วิเคราะห์การตลาด ทำไมยามาฮ่าถึงยอมฆ่า “วัวนม” ตัวสำคัญ?
การเลิกผลิต Fino ท่ามกลางยอดขายที่ยังเดินได้อยู่นั้น ตั้งคำถามแทนประชาชนได้ว่า “แบรนด์กำลังทำอะไรอยู่?” คำตอบที่ชัดเจนคือการขยับตัวเข้าสู่ยุค Next Generation ยามาฮ่าต้องการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยดัน Grand Filano Hybrid ให้ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มพรีเมียมแฟชั่น และให้ Fazzio เจาะกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ที่เน้นความก้าวล้ำของเทคโนโลยีเชื่อมต่อแอปพลิเคชัน
การคง Fino ไว้ในไลน์การผลิตอาจทำให้เกิดการทับซ้อนทางธุรกิจ (Market Cannibalization) การตัดสินใจหยุดในจังหวะที่ “สง่างามที่สุด” จึงเป็นทางเลือกที่ยามาฮ่าเลือกใช้ เพื่อรักษาคุณค่าของแบรนด์ Fino ให้กลายเป็นตำนานที่คนยังโหยหา
บทสรุป
แม้โรงงานจะหยุดเดินเครื่องผลิต Fino แล้ว แต่อะไหล่และการบำรุงรักษาในปี 2568 ยังคงทำได้ง่ายดายเนื่องจากอะไหล่หลายส่วนใช้ร่วมกับรุ่นอื่นได้ ความทนทานของชุดสีและเครื่องยนต์ Blue Core ทำให้รถรุ่นนี้ยังคงวิ่งอวดโฉมอยู่บนถนนไทย
บทความนี้ขอสรุปว่ารถในโมเดลนี้ไม่ได้หายไปไหน แต่มันแค่เปลี่ยนสถานะจาก “รถใหม่ในโชว์รูม” ไปเป็น “ความทรงจำที่วิ่งได้” และสำหรับใครที่ครอบครอง Fino Final Edition อยู่ในมือ จงเก็บรักษาให้ดี เพราะนี่คือหมุดหมายสำคัญที่บอกว่า ครั้งหนึ่งไทยเคยมีรถที่ชื่อว่า “ฟีโน่” เป็นผู้กำหนดทิศทางวงการยานยนต์ทั้งประเทศ
อ่านข่าวมอเตอร์ไซค์อื่นๆ คลิกที่นี่




