First Ride – Kawasaki Ninja 400 เลือดใหม่ยักษ์เขียว

หลังจากที่ทาง Kawasaki ได้เปิดตัวโมเดลสปอร์ตไบค์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Kawasaki Ninja 400 ไปในงาน Motor Expo เมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทาง SuperBike เราก็ได้รับคำเชิญจากทาง Kawasaki ให้เข้าร่วมทดสอบ เจ้านินจาเลือดใหม่คันนี้ด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าเราเองก็ไม่พลาดที่จะนำมารีวิวเรียกน้ำย่อยให้แฟนๆ ได้ชมกันครับ

ในส่วนของรูปโฉมของเจ้า Kawasaki Ninja 400 เมื่อแรกพบก็ต้องบอกเลยว่าตกหลุมรักเข้าอย่างจัง ด้วยการปรับลุคให้มีหน้าตาที่ดูดุดัน โฉบเฉี่ยว ล้ำยุคมากขึ้น โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรุ่นพี่อย่าง Ninja H2   นั่นเอง ซึ่งทำให้ภาพรวมของตัวรถนั้นออกมาดูบึกบึน ด้วยแฟริ่งและเส้นสายบนตัวรถ รวมไปถึงแชสซีแบบใหม่ ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับสปอร์ตไบค์ซีซีสูง ทั้งนี้ยังมีสีสันมาให้เลือกถึง 4 สี ด้วยกันได้แก่ สีดำ สีน้ำเงิน สีแดง และสีเขียว (KRT Edition) ส่วนเรือนไมล์ที่ให้มาเป็นแบบแบบอนาล็อคผสมดิจิตอลแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน Ninja 650 โดยบอกข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ทั้งนาฬิกา มาตรวัดระยะทางรวม ทริป A,B อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน รวมไปถึงไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ครบถ้วนสมบูรณ์ในจอเดียว ระบบไฟส่องสว่างในตัวรถรอบคันให้มาเป็น LED ทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยวและไฟท้าย

มาถึงในเรื่องของตัวรถกันบ้าง สิ่งแรงที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนจากเจ้า Ninja 400 ก็คือน้ำหนัก ที่เบาลงกว่า 7 ก.ก. เมื่อเทียบกันกับ Ninja 300 ทั้งๆ ที่มีความจุเครื่องยนต์มากขึ้น โดยน้ำหนักที่ลดลงนั้นเป็นผลจากการออกแบบเฟรมใหม่ จุดยึดสวิงอาร์มใหม่ที่ร้อยผ่านเฟรมด้านหลังเครื่องและเครื่องยนต์ใหม่ ทำให้ได้น้ำหนักที่เบาขึ้น ควบคุมได้ง่ายขึ้นแม้กระทั่งตอนเข็นรถก็ยังรู้สึกได้ชัดเจน

ส่วนเครื่องยนต์ตัวใหม่นั้น เป็นเครื่อง 2 สูบเรียง ขนาด 399 ซีซี 6 สปีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มาพร้อมกับชุดคลัทช์ใหม่ที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ลดแรงบีบในส่วนของก้านคลัทช์ลงถึง 20% อีกทั้งยังมาพร้อมสลิปเปอร์คลัทช์ และมีการออกแบบแผงกั้นหม้อน้ำใหม่เพื่อลดความร้อนจากแผงหม้อน้ำที่มากระทบตัวผู้ขับขี่อีกด้วย

คาลิเปอร์เบรคที่ติดรถมานั้นมาจาก Nissin เป็นแบบลูกสูบคู่ทั้งหน้าและหลัง พร้อมด้วยจานเบรคหน้าขนาด 310 มิลลิเมตร และจานเบรคหลังขนาด 220 มิลลิเมตร ระบบกันสะเทือนหน้าแบบเทเลสโคปิค ที่มีการเพิ่มขนาดกระบอกโช้คให้ใหญ่ขึ้นเป็น 41 มิลลิเมตร และโช้คหลังแบบปรับพรีโหลดได้ ส่วนถังน้ำมันถูกลดปริมาตรลงเหลือเพียง 14 ลิตร แต่เคลมว่าสามารถใช้เดินทางได้ไกลกว่า 350 กิโลเมตรเลยทีเดียว เบาะนั่งสูง 785 มิลลิเมตร แต่ดีไซน์ใหม่ให้เพรียวและกระชับขึ้น ทำให้เท้าสามารถเหยียบได้เต็มเท้า แต่ก็ยังคงความนุ่มและนั่งสบาย แฮนด์ที่ติดรถมาเป็นแฮนด์จับโช้คประกอบกับพักเท้าที่ยื่นไปด้านหน้าเล็กน้อย ให้สรีระท่านั่งขับขี่ ที่ไม่ได้ก้มมาก อเนกประสงค์มากขึ้น

ในส่วนของการขับขี่ผมเองได้มีโอกาสทดสอบเจ้า Ninja 400 ถึงสองรอบด้วยกัน ครั้งแรกเป็นที่สนามโกคาร์ท Impact Speed Park ที่เมืองทองธานี และครั้งที่สองเป็นการขับขี่ในสนามแข่งอย่าง พีระ เซอร์กิต พัทยา แม้ว่าจะมีเวลาขับขี่เจ้า Ninja 400 ในแต่ละครั้งแค่ไม่กี่รอบ แต่ก็สามารถสรุปได้คร่าวๆ ได้ว่า Ninja 400 เป็นรถที่ขับขี่ได้อย่างสนุกอีกคันนึงเลยทีเดียว ด้วยน้ำหนักตัวรถที่เบาขึ้น ประกอบกับท่านั่งขับขี่ที่สบายไม่ต้องก้มหมอบมาก ทำให้สามารถพลิกรถได้อย่างง่ายดาย มีความคล่องตัวสูง เหมาะแก่การขับขี่ในสภาพการจราจรแบบรถติดๆ ของกรุงเทพฯ เป็นอย่างมาก ส่วนเครื่องยนต์ให้กำลังรอบต้นไปจนถึงกลางที่ค่อนข้างจัดจ้าน ส่วนรอบปลายก็สามารถไหลต่อเนื่องทำความเร็วได้ โดยในสนามสามารถไต่ขึ้นไปถึงเกือบ 180 กม./ชม. โดยที่รอบยังคงเหลือๆ ตัวคลัทช์เองด้วยชุดคลัทช์แบบใหม่ ทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคลัทช์นิ่มขึ้นใช้แรงบีบน้อยลง อีกทั้งยังมีสลิปเปอร์คลัทช์มาให้ ซึ่งใช้งานได้จริงจากการที่ลองเชนจ์เกียร์ลงแบบหนักๆ ก่อนที่จะเข้าโค้ง สลิปเปอร์คลัทช์ทำงานได้ดี แทบไม่เหลืออาการดึงที่ล้อหลังเลย

ระบบกันสะเทือนที่ให้มานั้นครอบคลุมกับการใช้งานทั่วๆ ไป จากการลองขับขี่พบว่าสามารถทำได้ค่อนข้างน่าประทับใจ แต่ถ้าหากขี่สนามอาจจะต้องปรับเซ็ตกันบ้างเล็กน้อย ระบบเบรคจากคาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่จาก Nissin ถึงแม้ว่าในส่วนของล้อหน้าจะให้มาเป็นจานเดี่ยว แต่ตัวคาลิเปอร์ก็ใช้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในตัวใหญ่อย่าง 650 มั่นใจว่าเอาอยู่อย่างแน่นอน

สรุปโดยรวมๆ ว่า Kawasaki Ninja 400 นั้นเป็นรถที่ขับขี่ได้สนุก ด้วยกำลังเครื่องยนต์ อัตราเร่งในช่วงรอบต้นไปจนถึงกลางที่ดี น้ำหนักที่เบา รวมไปถึงท่าทางการขับขี่ที่สบาย หน้าตาที่ดูหล่อเหลาจนต้องเหลียวมอง และราคาที่ไม่แรง (196,000 บาท สำหรับตัวธรรมดา และ 205,000 บาท สำหรับรุ่น KRT Edition) เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่กำลังมองหารถในขนาดไซส์เล็ก-กลาง สำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือมองหารถไว้สำหรับขี่สนาม เจ้า Ninja 400 นับว่าตอบโจทย์ได้ครบเลยล่ะครับ

อ่านการทดสอบรถทั้งหมดได้ที่ คลิก

- Advertisement -
Bank Superbike
Bank Superbike
นักเขียนธรรมดา ที่คิดว่าไม่มีอะไรเกินคว้า ฟ้าไม่สูงไป ใจไม่ขี้ขลาด ชีวิตเรียนรู้ในวงการมา 9 ปี ขับขี่ได้ทั้ง 2 ล้อ 4 ล้อ เครื่องยนต์ไม่จำกัดซีซี ควรทำในส่งที่ควรทำ รักสุดใจ ลงแทร็กไปก็ขี่สุดตัวเช่นกัน..!!

Related Articles

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่