SuperBikeMag.Com ข่าวมอเตอร์ไซค์ รีวิวมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานยนต์ บิ๊กไบค์

Langen Lightspeed ไฮเปอร์เน็กเก็ตจากแดนผู้ดี Langen Lightspeed ไฮเปอร์เนคเก็ตจากไลน์ผลิตของค่าย Langen ผู้ผลิตสัญชาติอังกฤษที่เคยผลิตผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง ‘Langen Two Stroke’ รถจักรยานยนต์สองจังหวะ ที่มีเครื่องยนต์รูปแบบ V-Twin ขนาดเครื่องยนต์ 250 ซีซีมาพร้อมพละกำลังที่สูงถึง 76 แรงม้า ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางค่ายก็ได้ส่งโมเดล ‘Lightspeed’ เพื่อมาสร้างความเร้าใจให้กับผู้ขับขี่อีกครั้ง การออกแบบดีไซน์เป็นรถจักรยานยนต์สไตล์ ‘เน็คเก็ตไบค์’ โดดเด่นด้วยสีดำตัดกับเฟรมตัวถังที่มีสีดำอย่างลงตัว เสริมความหล่อให้มากยิ่งขึ้นด้วยชิ้นงานคาร์บอนบริเวณบังโคลนหน้า, บริเวณด้านบนของตัวถัง และบริเวณโคมไฟด้านหน้าของตัวรถ เพิ่มความเป็นสปอร์ตด้วยเบาะนั่งแบบตอนเดียวที่หุ้มด้วยผ้าแบบอาคันทาร่า โมเดล Lightspeed Turbo มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ V-Twin 72 องศา ขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ 1,190 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ สามารถสร้างพละกำลังสูงสุด 185 แรงม้าที่ 10,600 รอบต่อนาที มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตรที่ 8,200 รอบต่อนาทีจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด พร้อมความจุถังน้ำมันขนาด 19 ลิตร ระบบช่วงกันสะเทือนด้านล่างจากทาง Ohlins ทางด้านหน้า และด้านหลัง โดยด้านหน้าจะเป็นโช้คอัพแบบหัวกลับ Öhlins FGRT 301 ขนาดแกน 48 มม.ระยะยุบ 120 มม. สามารถปรับค่าในส่วนของคอมเพรสชัน และรีบาวด์ได้ และด้านหลัง ‘Ohlins STX’ โช้คอัพคู่ พร้อมซับแทงค์ขนาบข้างไปในบริเวณด้านท้ายของตัวรถ มีระยะยุบอยู่ที่ 120 มม. สามารถปรับค่าในส่วนของคอมเพรสชัน และรีบาวด์ได้เช่นเดียวกัน ระบบเบรกด้านหน้า จัดมาให้แบบดิสก์เบรกคู่หน้า พร้อมคาลิเปอร์แบบสี่ลูกสูบจาก HEL จับคู่กับจานเบรกน้ำหนักเบาขนาด 320 มม. ด้านหลังเป็นระบบดิสก์เบรกเดี่ยว เช่นเดียวกันกับด้านหน้า มาพร้อมกับคาลิเปอร์แบบสองลูกสูบจาก HEL จับคู่กับจานเบรกขนาด 265 มม. ซึ่งมีระบบ ABS ที่เป็นระบบมาตรฐานทั้งด้านหน้า และด้านหลัง และที่เหนือไปกว่านั้นรถจักรยานยนต์คันนี้ยังมี ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง ระบบตรวจจับการยกตัวของล้อหลัง โดยรถคันนี้มากับล้อหน้าขนาด 120/70-17 และล้อหลังขนาด 240/45-17 รัดด้วยยาง Pirelli Diablo Rosso III ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งรถจักรยานยนต์คนนี้มีวางจำหน่ายอยู่ที่ราคา 37,000 ปอนด์ หรือตีมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 1,550,200 บาท โดยราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รายละเอียดมุมอื่น ๆ ของตัวรถ Langen LS12 Lightspeed Turbo แม้จะวางจำหน่ายแล้วสำหรับรุ่นปกติแต่ทาง Langen ยังได้ทำการเปิดเผยแผนการสำหรับโมเดลที่สามของทางค่าย ซึ่งจะเป็นเวอร์ชัน ‘เทอร์โบชาร์จ’ โดยใช้ชื่อรหัสของรุ่นดังกล่าวว่า LS12 โดยจะมีพื้นฐานตัวรถจาก Lightspeed ที่มีการเสริมพละกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มเติมด้วยเทอร์โบชาร์จ แม้ว่ารายละเอียดสเปคเครื่องยนต์ของโมเดลใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว อาจจะยังไม่รายละเอียดเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ทาง Langan ก็ระบุในการทดสอบในขั้นแรก ที่เผยว่าในโหมดการขับขี่แบบ ‘Road Mode’ สามารถสร้างพละกำลังของเครื่องยนต์ได้ราว ๆ 250 แรงม้า และใน ‘Sport Mode’ คาดว่าจะสามารถรีดพละกำลังสูงสุดได้ถึง 300 แรงม้า ซึ่งทางค่ายมีความตั้งใจที่ต้องการจะคว้าตำแหน่ง ‘มอเตอร์ไซค์โปรดักชันที่เร็วที่สุดในโลก’ ซึ่ง Christofer Ratcliffe ผู้ก่อตั้ง Langen Motorcycles ได้ออกมาเผยว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะสร้างประวัติศาสตร์ในวงการมอเตอร์ไซค์ด้วยรถที่พวกเขานั้นผลิตขึ้นมา “เราใช้เวลา 18 เดือนที่ผ่านมา ในการเตรียมความพร้อมสำหรับช่วงเวลานี้ เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าเต็มกำลัง ควบคู่ไปกับการได้รับเงินลงทุน” “ผมมีความฝันมาโดยตลอดในการลงทุนในบริษัทมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ เพื่อให้ได้สัมผัสถึงความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ผมหลงใหลอย่างสุดหัวใจ และนั่นเองที่นำไปสู่การก่อตั้ง Langen Motorcycles ในที่สุด ความรู้สึกนี้เองที่ทำให้เราตัดสินใจเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีใจรักในมอเตอร์ไซค์ ได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นของ Langen และไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางและการเติบโตของเรา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในวงการมอเตอร์ไซค์อีกด้วย” รายละเอียดมุมอื่น ๆ ของตัวรถ โดยรถคันนี้ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการการพัฒนาโครงการอย่างจริงจัง ซึ่งมีการนำไปทดสอบบนไดโนเบื้องต้นแล้ว โดยมีแผนลงทดสอบบนถนนจริงต่อไป ซึ่งถ้ารถจักรยานยนต์คันนี้ผ่านการทดสอบ คาดว่าจะมีการผลิตในจำนวนจำกัดเท่านั้น และราคาที่คาดว่าน่าจะทำให้เหล่าผู้ที่สนใจตะลึงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว (แพงแน่นอน) อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Yamaha NMAX TECHMAX155 เผยสเปควางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเตรียมงัดเพื่อนซี้อย่าง 'Honda PCX160' ในคอลัมน์นี้จะมาโชว์ว่าใครเจ๋งกว่า

KTM New TFT Display จอใหม่ ใหญ่เท่า iPad KTM New TFT Display เทคโนโลยีใหม่จากค่าย KTM พร้อมสวิตช์ควบคุมที่แฮนด์บาร์แบบใหม่ และหน่วยการเชื่อมต่อใหม่ ซึ่งจะช่วยยกระดับ HMI (Human-Machine Interface) หรือ อุปกรณ์แสดงผลที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่ไปสู่ความสามารถในการใช้งานที่เหนือชั้น ซึ่งคาดว่าจะทยอยนำมาใช้ในรุ่นล่าง ๆ ในอนาคต KTM New TFT Display มีด้วยกันสองรูปแบบ ได้แก่ รุ่น V80 ขนาดหน้าจอ 8.0 นิ้ว เป็นหน้าจอในรูปแบบแนวตั้ง และรุ่น H88 ที่มีขนาดหน้าจอ 8.8 นิ้ว เป็นจอในรูปแบบแนวนอน ซึ่งหน้าจอของทั้งสองรุ่นมีความละเอียดเท่ากันอยู่ที่ 1280×720 พิกเซล และสามารถทัชสกรีนได้ พร้อมกับเทคโนโลยีจอแบบ Bonded ที่มีเทคโนโลยีการเคลือบป้องกันแสงสะท้อน ป้องกันรอยนิ้วมือ และป้องกันแสงจ้า ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกมุมมอง และฟังก์ชันทัชสกรีนที่พัฒนาขึ้นใหม่ สามารถใช้งานได้ทั้งแม้กระทั่งสวมถุงมือ โดยสามารถแสดงสีได้ถึง 256,000 สี ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนเกือบ 4 เท่า ทำให้คงรายละเอียดที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพแสง หน้าจอสามารถปรับแต่งได้เองตามความถนัดของผู้ขับขี่ พร้อมตัวเลือกการจัดหน้าจอ 5 รูปแบบ มีตัวเลือกหน้าจอที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ขับขี่เลือกใช้ฟังก์ชันหลักได้ตามต้องการ เช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ การนำทางด้วยแผนที่ รายการโปรด หรือการเล่นเพลง รวมทั้งยังมีโหมดที่แสดงข้อมูลพื้นฐานเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากนี้ สวิตช์ควบคุมต่าง ๆ ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยตอนนี้มีปุ่มสำหรับเลือกโหมดการขับขี่ A/M (อัตโนมัติ/แมนนวล) สำหรับรุ่นที่ติดตั้งระบบ AMT จอยสติ๊ก 5 ทิศทางพร้อมปุ่มย้อนกลับ ปุ่มควบคุมระบบครูซคอนโทรล สวิตช์ไฟ และปุ่มสตาร์ท และปุ่มแพดเดิ้ลชิฟต์แบบใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้สำหรับรุ่นที่ไม่มีระบบ AMT ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง การเปิด/ปิดการอุ่นมือจับ การอุ่นเบาะนั่ง และไฟตัดหมอก ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ และปุ่มทั้งหมดนี้ยังมีไฟส่องสว่าง และการออกแบบกราฟิกที่วางในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายในทุกสภาพการขับขี่ ระบบนำทางด้วยแผนที่ออฟไลน์ที่ถูกติดตั้งมาในจอใหม่นี้ ทำให้สามารถใช้งานนำทางแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนเส้นทางในการขับขี่จากจุด A ไปยังจุด B หรือไปตามจุดหมายที่ต้องการได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น ระบบ CCU3.0 ที่มาพร้อมกับจอที่ถูกพัฒนาใหม่จะทำให้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทำได้อย่างราบรื่นทุกครั้งที่มีการสตาร์ทรถ ง่ายชนิดที่ว่าถ้าผู้ขับขี่ฟังเพลงค้างไว้บนมือถือ แล้วมาสตาร์ทรถเพลงนั้นจะเด้งมาที่หน้าจอกลาง และสามารถเล่นเพลงต่อได้ทันที อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมดจากโทรศัพท์ได้ การมาของเทคโนโลยีหน้าจอใหม่นี้จะทำให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ระบบของมอเตอร์ไซค์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในช่วงแรกการอัปเดตซอฟต์แวร์ทั้งหมดจะต้องดำเนินการผ่านตัวแทนจำหน่ายของ KTM ก่อน แต่ในอนาคตสามารถอัปเดตผ่านระบบ Over-the-Air (OTA) ได้โดยตรงไปยังมอเตอร์ไซค์ คุณสมบัติเด่น ระบบปฏิบัติการ Android Automotive รองรับการสตรีมแอปพลิเคชันจากสมาร์ทโฟนไปยังแผงหน้าปัด รองรับการอัปเดตระบบ Over-the-Air ในอนาคต หน่วยความจำของระบบขนาด 32 GB มาพร้อม RAM ขนาด 3 GB รองรับ IoT (Internet of Things) eSim ระบบ GPS Bluetooth Wi-Fi ฟังก์ชันการควบคุมระดับเสียงของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ แผงหน้าปัดที่พัฒนาใหม่นี้ไม่เพียงแค่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นไปได้ในมอเตอร์ไซค์ แต่ยังเปิดประตูสู่ยุคของเทคโนโลยีแบบเต็มรูปแบบ เมื่อจับคู่กับ DNA “READY TO RACE” ของ KTM จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่ชาญฉลาดให้กับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น KTM TFT ที่เปิดตัวใหม่ทั้งหมดนี้จะถูกนำไปใช้กับรถรุ่นเรือธงในปี 2025 โดยคาดว่าจะมาในรุ่น 2025 KTM 1390 SUPER ADVENTURE S EVO ที่จะเปิดตัวใหม่นี้ ซึ่งคาดว่าจะทยอยนำมาใช้ในรุ่นล่าง ๆ ในอนาคต อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

2025 Yamaha YZF R7 อัพสเปค เพิ่มสีใหม่ 2025 Yamaha YZF R7 อีกหนึ่งโมเดลที่เปิดตัวใหม่เช่นเดียวกับน้องใหม่ในตระกูล R-Series อย่าง R9 เท่านั้น แน่นอนว่าคันนี้เองก็มีดีกรีร้อนแรงไม่แพ้รุ่นพี่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ซูเปอร์สปอร์ตไซส์กลาง พิกัด 700CC (CP2) มาพร้อมสีสันใหม่ เปิดราคาโมเดลใหม่ที่ 9,199 ดอลลาร์เหรียญสหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 309,000 บาท เครื่องยนต์สองสูบจี๊ดจ๊าดถึงใจ ขุมพลัง CP2 พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 689 ซีซี DOHC มอบพลังและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจและแท้จริงในแบบ Supersport เพลาข้อเหวี่ยง 270 องศา ช่วยให้มีแรงบิดที่ต่อเนื่องเพื่อการเร่งที่เร้าใจ และลดการสั่นสะเทือน ช่วงล่างปรับใหม่ มั่นใจทุกโค้ง ระบบกันสะเทือนหน้ามาพร้อมกับโช้คอัพแบบหัวกลับขนาด 41 มม. ที่มีการปรับอัตราสปริง และการหน่วงอย่างเหมาะสม เพื่อให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมในขณะเข้าโค้ง ระบบช่วงล่างด้านหลังมาแบบระบบโช้คเดี่ยว Monocross สามารถปรับพรีโหลดสปริง และให้ความสมดุลที่ดีเยี่ยมระหว่างขับขี่ โดยช่วงออกแบบมาให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่การขับขี่ในเมืองไปจนถึงการขี่ในสนามแข่ง ในส่วนของระบบเบรกแน่นอนว่าเป็นระบบเบรก OEM จากโรงงานที่มีประสิทธิภาพการเบรกไม่แพ้ค่ายดัง ระบบ Assist slipper clutch สามารถช่วยลดแรงกดที่ก้านคลัตช์ขณะเปลี่ยนเกียร์ ช่วยให้เชนจ์เกียร์ไว ไม่กระชาก ให้ความรู้สึกที่ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ให้ประสบการณ์การขับขี่แบบ Supersport ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังมีระบบ Quick Shift System (QSS) ที่ทำให้การเข้าเกียร์ไหลลื่นมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่ต้องกำคลัตซ์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ให้มากับ YZF-R7 2025 Yamaha YZF R7 สเปค และรายละเอียดอื่น ๆ เครื่องยนต์ CP2 สูบเรียงระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 689 ซีซี แรงม้า (เคลม) 73.4 แรงม้าที่ 8,750 รอบ แรงบิด (เคลม) 67 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ระบบวาล์ว DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 80 x 68.6 มม. อัตราส่วนการอัด 11.5 : 1 ระบบเกียร์ 6 สปีด พร้อม Assist Slipper clutch ระบบจุดระเบิด TCI ระบบจ่ายเชื้อเพลิง หัวฉีดไฟฟ้า ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า ระบบคลัตช์ คลัตซ์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ระบบส่งกำลังสุดท้าย โซ่ ยางหน้า 120/70 ZR17 ยางหลัง 180/55 ZR17 ระบบกันสะเทือนหน้า โช้คอัพหัวกลับ ปรับพรีโหลด คอมเพรสชัน และรีบาวด์ได้ ขนาดแกน 43 มม. ระยะยุบ 130 มม. ระบบกันสะเทือนหลัง โช้คหลังเดี่ยว ปรับพรีโหลด คอมเพรสชัน และรีบาวด์ ร่วมกับสวิงอาร์ม ระยะยุบ 130 มม. เบรกหน้า ดิสก์เบรกคู่ขนาด 298 มม. พร้อมคาลิเปอร์เบรก OEM จากโรงงาน เบรกหลัง ดิสก์เบรกหลังเดี่ยวขนาด 245 มม. พร้อมคาลิเปอร์เบรก 1 พอต กว้าง X ยาว X สูง 706 x 2,070 x 1,160 มม. ระยะฐานล้อ 1,394 มม. ระยะห่างจากพื้นถึงตัวรถ 134 มม. ความสูงเบาะ 835 มม. น้ำหนักรถ 187.7 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมัน 12.8 ลิตร ประเภทของน้ำมันที่เติมได้

Yamaha PW50 2025 ปลุกความเป็นไบค์เกอร์ให้ลูกคุณ Yamaha PW50 มอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในตลาดมอเตอร์ไซค์เด็ก และในปี 2025 นี้ Yamaha ยังคงรักษาความเป็นมาตรฐานสำหรับมอเตอร์ไซค์ระดับเริ่มต้น โดย PW50 รุ่นนี้ออกแบบมาเพื่อให้เด็ก ๆ ได้มีประสบการณ์แรกกับมอเตอร์ไซค์ในรูปแบบที่ปลอดภัย เรียบง่าย และสนุกสนาน ดีไซน์เหมาะกับวัยจิ๋ว จุดเด่นสำคัญ คือการออกแบบที่เรียบง่าย และเหมาะสมกับเด็ก ด้วยที่นั่งที่มีความสูงเพียง 18.7 นิ้ว ทำให้เด็ก ๆ สามารถนั่ง และวางเท้าทั้งสองข้างถึงพื้นได้อย่างมั่นคง ซึ่งช่วยเสริมความมั่นใจในการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นเด็กเล็ก กราฟิก และดีไซน์ของตัวรถได้รับแรงบันดาลใจจากทีม Yamaha Racing ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกถึงความเป็นมือโปร “มือโปร” ให้กับผู้ขับขี่รุ่นจิ๋ว แม้ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็ก แต่ก็ยังคงรักษาความรู้สึกของความเป็นนักแข่งมอเตอร์ไซค์ที่จริงจัง เช่นเดียวกับรุ่นพี่ใหญ่ในตระกูล Yamaha Off-Road เครื่องยนต์สองจังหวะสำหรับเด็ก PW50 2025 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 49 ซีซี แบบ 2 จังหวะ เครื่องยนต์นี้มีการออกแบบให้ขับเคลื่อนได้อย่างนุ่มนวล และควบคุมได้ง่าย ทำให้เด็ก ๆ สามารถเริ่มต้นเรียนรู้การขับขี่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบังคับที่ซับซ้อน เครื่องยนต์ขนาดเล็กนี้ไม่เพียงแต่มีพละกำลังเพียงพอสำหรับการขับขี่แบบเบา ๆ บนทางดินหรือเส้นทางวิบาก แต่ยังทำให้ผู้ที่ขับขี่เป็นครั้งแรกสามารถขับขี่ได้ง่าย เพราะสามารถให้แรงบิดที่เหมาะสม โดยไม่ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกหวาดกลัว เครื่องยนต์ที่ปรับจูนมาอย่างดี ทำให้ PW50 สามารถขับได้อย่างสนุกและปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กที่ต้องการประสบการณ์แรกกับการขับขี่มอเตอร์ไซค์ ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ PW50 เป็นที่นิยม คือระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ “twist-and-go” ซึ่งผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเกียร์ เพียงแค่บิดคันเร่งรถจะเคลื่อนที่ไปได้ในทันที ระบบนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการขับขี่ และทำให้เด็กสามารถมีสมาธิในการเรียนรู้การควบคุมตัวรถได้มากขึ้น การออกแบบนี้เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการให้ความรู้สึกของการควบคุมมอเตอร์ไซค์ที่แท้จริงกับการลดความซับซ้อนในการใช้งาน ทำให้ผู้ขับขี่รุ่นเล็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและสนุกสนาน ความปลอดภัยและการบำรุงรักษาที่ง่าย ความปลอดภัยเป็นหัวใจหลักของ Yamaha PW50 ระบบขับเคลื่อนด้วยเพลาขับที่มาพร้อมการปิดครอบอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการบำรุงรักษา และยังเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่เด็กเมื่อเทียบกับระบบโซ่ที่อาจมีความเสี่ยงในบางสถานการณ์ นอกจากนี้ PW50 ยังมาพร้อมกับระบบเบรกแบบดรัมทั้งด้านหน้าและด้านหลังที่ให้การหยุดรถอย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยน้ำหนักตัวรถเพียง 40 กิโลกรัมนิด ๆ ทำให้เด็ก ๆ สามารถควบคุมรถได้ง่าย ไม่รู้สึกว่ารถหนัก หรือขับขี่ยากเกินไปบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ ระบบกันสะเทือนและการขับขี่ที่นุ่มนวล สำหรับการขับขี่บนทางวิบากหรือทางที่ไม่เรียบ PW50 ได้รับการติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบ telescopic fork ขนาด 26 มม. พร้อมระยะยุบ 2.4 นิ้ว และระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบสวิงอาร์มพร้อมระยะยุบ 2.0 นิ้ว แม้ว่าระบบกันสะเทือนจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่ แต่ก็เพียงพอที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลให้กับเด็กๆ โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าการขับขี่นั้นแข็งกระด้าง ความจุถังน้ำมัน ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 2 ลิตร ออกแบบมาสำหรับการขับขี่ในระยะทางสั้น ๆ มากกว่าการเดินทางระยะไกล แต่เพียงพอสำหรับการใช้งานในสวนหลังบ้านหรือพื้นที่ฝึกซ้อมเล็กๆ ด้วยเครื่องยนต์สองจังหวะที่ประหยัดน้ำมัน ผู้ปกครองสามารถมั่นใจได้ว่าการเติมน้ำมันจะไม่บ่อยเกินไป และยังคงสามารถสนุกกับการขับขี่ได้เป็นเวลานานต่อการเติมครั้งเดียว ราคาที่เป็นมิตร สำหรับมอเตอร์ไซค์จิ๋วคันนี้ตั้งราคาจำหน่ายที่ประมาณ 1,849 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตีเป็นเงินไทยราว ๆ 62,015 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับมอเตอร์ไซค์เด็กที่มีประสิทธิภาพ และความทนทานระดับนี้ เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการให้ลูกหลานเริ่มต้นในการทดลองขี่รถมอเตอร์ไซค์ ด้วยการออกแบบที่ทนทาน และระบบการขับขี่ที่เรียบง่ายทำให้ PW50 เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเรียนรู้ในระยะยาว สรุป Yamaha PW50 2025 ยังคงรักษามาตรฐานการเป็นมอเตอร์ไซค์สำหรับเด็กที่ยอดเยี่ยม ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงความปลอดภัย ความง่ายในการใช้งาน และการบำรุงรักษาที่ต่ำ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ปกครองที่ต้องการมอบประสบการณ์การขับขี่ครั้งแรกที่สนุกและปลอดภัยให้กับลูก ๆ ได้อย่างเเน่นอน Yamaha PW50 2025 สเปค และรายละเอียดอื่น ๆ เครื่องยนต์ 2 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ปริมาตรกระบอกสูบ 49 ซีซี แรงม้า N/A แรงบิด N/A ระบบวาล์ว ลิ้นปีกผีเสื้อ ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก 40 x 39.2 มม. อัตราส่วนการอัด 6.0 : 1 ระบบเกียร์ เกียร์อัตโนมัติแบบ Centrifugal ระบบจุดระเบิด CDI ระบบจ่ายเชื้อเพลิง คาร์บูเรเตอร์ VM12 ยางหน้า 2.50 – 10 4PR ยางหลัง 2.50 – 10

Cub House Fun day วันเดย์ทริปของคนวัยมันส์ วันนี้ทาง Superbike Thailand ได้มีโอกาสมาทดลองขับขี่รถจักรยานยนต์ในกิจกรรม Cub House Fun day One day Trip กับทริปกับการขับขี่ 1 วัน ในสไตล์วัยรุ่น ก็เลยถือโอกาสแต่งตัวให้เข้ากับธีมงานกันซักนิดนึง แล้วจะเป็นอย่างไร ไปชมกัน สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ จัดขึ้นโดย CUB House ณ คอฟฟี่ แอน ชาบู แคมป์ เพื่อร่วมสนุกกับทริปการขับขี่รถจักรยานยนต์ ใน 1 วัน กับรถ Honda Monkey สายซน และรถจักรยานยนต์ Honda CT125 สายลุย ไปพร้อมกับการถ่ายแบบแฟชันในสไตล์ Cub House อีกด้วย สำหรับบรรยากาศภายในวันนี้ เมื่อเช็คกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้กล่าวเปิดงานอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมกับบรีฟเส้นทางก่อนออกเดินทาง เผื่อขับไปแล้วหลง จากนั้นแบ่งกลุ่มรอบการขับขี่เป็น 3 รอบด้วยกัน เพื่อให้สื่อมวลชนได้สนุกไปกับการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างเต็มที่ เมื่อเตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมออกสตาร์ทเดินทาง โดยแอดมินได้เลือกเจ้า Honda CT125 สีเขียวขี้ม้า ที่มาพร้อมกับคาแรคเตอร์สายลุยในทุกเส้นทาง ขับขี่แบบชิลล์ ๆ คูล ๆ แล้วมาขี่ลุยบนเส้นทางขรุขระกันซักหน่อย ซึ่งแอดขอบอกตรง ๆ เลยว่า แอบเกรงนิดหน่อย แต่เจ้า CT125 มีการออกแบบสมรรถนะเครื่องยนต์และดีไซน์ที่สามารถคอนโทรลตัวรถได้ง่าย ซึ่งเอาอยู่แน่นอน ขับรถสายลุยกันไปแล้ว ลองมาเปลี่ยนฟีลขับขี่รถคาแรคเตอร์สายซนและโลดแล่นกันบ้าง กับเจ้า Honda Monkey คันนี้ บอกเลยขับขี่สนุกและคล่องตัวมาก สมกับเป็นรถจักรยานยนต์สายซนเลยทีเดียว แล้วแวะมาถ่ายแบบกันซักนิด บนกราฟิตี้สวย ๆ ซึ่งเข้ากับสไตล์ตัวรถได้ดีเลยทีเดียว เมื่อทริปจบแล้ว ขอพามาดูรถจักรยานยนต์ที่โชว์กันในงานนี้ ซึ่งมีรถรุ่น Honda Monkey, Honda C125 และ Honda CT125 จอดสวย ๆ ให้ชมกัน สำหรับใครที่สนใจรถจักรยานยนต์รถจักรยานยนต์รุ่นดังกล่าว ภายในงาน แอดจึงขออนุญาตแนะนำราคา รุ่น Monkey ราคาแนะนำอยู่ที่ 99,700 บาท, รุ่น C125 ราคาแนะนำอยู่ที่ 89,600 บาท และรุ่น CT125 ราคาแนะนำอยู่ที่ 84,900 บาท ก็ขอสรุปเลยว่า วันนี้ทาง ซูเปอร์ไบค์ ไทยแลนด์ ได้มีโอกาสมาทดลองขับขี่ พร้อมกับการถ่ายแบบตามสไตล์ Cub House ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณทางคลับเฮาส์ ที่ให้โอกาสไปร่วมกิจกรรม กับทริปการขับขี่รถจักรยานยนต์ในครั้งนี้ด้วยครับ #CUBHouseFundayOnedayRide #NewMonkey #NAUGHTYGOROUND #NewC125 #RideTheMasterpiece #CT125 #MyHiddenPleasure อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

New Yamaha YZF-R7 2023 เพิ่มสีใหม่ ราคาเดิม พร้อมเซอร์ไพรส์สำหรับเหล่าแฟน ๆ สายซิ่ง เพราะทาง Yamaha Riders club ได้เปิดตัวสีใหม่ในโมเดลรถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง New Yamaha YZF-R7 2023 ที่มาในสีขาวมุก (White Pearl) พร้อมจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ สำหรับสีใหม่ในโมเดล YZF-R7 2023 ครั้งนี้มาในโทนสีขาว ผสมกับลายกราฟิกสีเทาและสีแดงตัดกัน พร้อมกับการออกแบบแฟริ่ง ที่ให้ความสปอร์ตแบบต้นตำหรับของรถโมเดล R7 บวกกับล้อแม็กอลูมิเนียมสีแดง ที่ตัดกับสีตัวรถได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง ด้านรูปลักษณ์ตัวรถ ยังคงความเป็นโมเดลของ R7 ที่ออกแบบมาสำหรับสไตล์เรซซิ่ง เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งส่วนนี้ถือว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจากเดิม เรามาสำรวจรถรุ่นนี้กัน อันดับแรกเลย มาดูสมรรถนะของเจ้า R7 กัน ด้วยเครื่องยนต์ CP2 2 สูบ 4 จังหวะ 689 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบเกียร์แบบ 6 สปีดและระบบแอสซิสต์และสลิปเปอร์คลัตช์ ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุด 73.4 แรงม้าที่ 8,750 รอบ และแรงบิด 67 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ถือว่าให้กำลังความเร็วมาได้ดี ทั้งแรงต้นและแรงปลายเลยทีเดียว ต่อที่ระบบกันสะเทือน เริ่มจากโช้คหน้าแบบหัวกลับจาก KYB ขนาด 41 มม. มีระยะยุบ 130 มม. ด้านหลังเป็นสวิงอาร์มและโช้คเดี่ยวปรับพรีโหลดและรีบาวด์ได้ ส่องลงมาอีกกันที่ช่วงล่าง กับระบบเบรก โดยด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 298 มม.พร้อมปั๊มบนแบบเรเดียลจาก Brembo ดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหลังขนาด 245 มม. พร้อมระบบเบรก ABS ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เสริมด้วยล้อหน้า-หลังขนาด 17 นิ้ว และยางหน้า 120/70 ยางหลัง 180/55 แบบไม่ใช้ยางในทั้งคู่ สำรวจรอบรถกันไปแล้ว มาเช็คของภายในของเจ้า R7 รุ่นนี้กันบ้าง ด้วยความเป็นรถสปอร์ตที่สามารถใช้แข่งในสนามได้อยู่แล้ว ก็ย่อมมากับระบบช่วยการเชนเกียร์อย่างแอสซิสต์แอนด์สลิปเปอร์คลัตช์ ที่ช่วยในการหน่วงแรงเอ็นจิ้นเบรก ลดอาการสะบัดของรถในเวลาเบรกได้เป็นอย่างดี พร้อมหน้าจอเรือนไมล์แบบ LCD แสดงผลข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน และระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก ซึ่งเบรกได้อุ่นใจแน่นอน ถ้าดูรวม ๆ จากภายนอกของรถรุ่นนี้แล้ว อาจจินตนาการได้เลยว่า โมเดลสีใหม่รุ่นนี้ เหมือนอาชาเหล็กสีขาวที่พร้อมจะโลดแล่นบนสนามแข่งและท้องถนน สวยจริง ๆ สำหรับราคาของเจ้า Yamaha YZF-R7 2023 สีขาวมุกตัวใหม่ เปิดตัวอยู่ที่ 339,000 บาท ซึ่งถือว่าราคาเท่าเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลอะไร ถ้าหากใครสนใจ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปชมได้ที่โชว์รูม Yamaha Riders club ทั่วประเทศ อ่านข่าวอื่นๆ จาก Yamaha คลิกที่นี่ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

ยูโรเปี้ยน เรดบูล สร้างประสบการณ์ให้ลุกเป็นไฟ เยี่ยมชมโรงรถ Redbull KTM ทีมดังระดับโลก ขุมพลังที่ซุ่มความแรงในตระกูล 2 ล้อ ผ่านไปแล้วสำหรับการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก (โมโตจีพี) ภายใต้ชื่อ พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 ณ เวทีประลองความเร็วระดับโลก สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดย มาร์ค มาร์เกซ (Marc Marquez) นักบิดชาวสแปนิช นักบิดเจ้าของฉายาเด็กระเบิด ไม่ทำให้ผิดหวัง โชว์บิดแซงหน้า Fabio กวาร์ตาราโร ในโค้งสุดท้ายเข้าเส้นชัยเป็นอับดับ 1 ฉลองแชมป์โลกรวมสมัยที่ 8 อย่างยิ่งใหญ่ ยูโรเปี้ยน เรดบูล พาเกาะติดขอบสนามการแข่งขันโมโตจีพี ศึกมอเตอร์สปอร์ตอันดับหนึ่งของโลก ชมการขับเคี่ยวที่เร้าใจของรถแข่งจักรยานยนต์ที่ล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีสูงสุด ซึ่งนอกเหนือจากการประลองความเร็วของยอดนักบิดระดับโลกแล้ว ยูโรเปี้ยน เรดบูล ยังอัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมายไม่ว่าจะเป็นการาจทัวร์ เผยความลับแห่งขุมพลังความเร็ว แบบเจาะลึกทุกรายละเอียดตลอดการทัวร์โรงรถของทีม Red Bull KTM พร้อมทั้งกระทบใหล่กับนักบิดในสังกัด อย่าง มิเกล โอลิเวียร่า (Miguel Oliveira) ฮาฟิช ซยาห์ริน (Hafizh Syahrin) มิกา คาลิโอ (Mika Kallio) และ โปล เอสปาร์กาโร (Pol Espargaro) ตบท้ายด้วยอาฟเตอร์ปาร์ตี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับเรดบูลที่มี ดีเจบอมเบอร์ ซีเล็คต้า2x (Bomber Selecta 2x) ดีกรีแชมป์สองสมัยติดจากเวที Red Bull Thre3Style มาเอนเตอร์เทนสร้างความประทับใจปิดท้าย อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ ติดตามเราบนแฟนเพจคลิกที่นี่

เปิดตัวกันเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ สเปก Kawasaki Ninja 650 2020 ที่แฟนๆชาวไทยต่างก็อดใจรอกันอยู่พักใหญ่ๆสำหรับรถ บิ๊กไบค์ สายสปอร์ตขนาดกลาง เครื่องยนต์ 650 ซีซี ที่จะมีลูกเล่นอะไรใหม่มาให้สายเขียวได้ลอง ได้ชมกันบ้าง สำหรับ สเปก Kawasaki ninja 650 2020 มาดูกันที่รูปร่างหน้าตา ที่มีการอัพเกรดไฟหน้าคู่แบบใหม่เป็น LED ทั้งคู่สว่างกว่าเดิมอย่างแน่นอน รวมไปถึงหน้าจอเรือนไมล์ที่เป็น TFT จอสีแสดงมาตรวัดทุกอย่างแบบดิจิทัลทั้งหมด ที่แสดงผลรอบเครื่องยนต์ ความเร็ว ตำแหน่งเกียร์ ความร้อนเครื่องยนต์ มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน และยังสามารถเชื่อมต่อกับ สมาร์ทโฟนได้ผ่านทาง Bluetooth โดยสามารถควบคุมทั้งหมดผ่านทางแอฟพลิเคชั่น RIDEOLOGY นั้นเรามาดูกันที่เครื่องยนต์กันต่อ เพราะน่าจะเป้นหัวใจหลักที่สำคัญสำหรับการเลือกซื้อรถคันนี้ เครื่องยนต์ ขนาด 2 สูบ 649 ซีซี DOCH 4 วาว์ล ระบายความร้อนด้วยน้ำ เกียร์ 6 Speed ตัวรถคันนี้จะสามารถบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15 ลิตร ช่วงล่างด้านหน้าแบบ เทเลสโคปิค ยังคงไม่อัพเกรดเป็นแบบ Up-side down แต่มีแกนโช้คอัพที่มีขนาดใหญ่ 41 มิลลิเมตร ไม่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้ ส่วนโช้คอัพด้านหลังเป็นแบบเดี่ยว สามารถที่จะปรับค่าพรีโหลดได้ มาพร้อมกับยางสายสปอร์ตที่ติดมาให้จากโรงงาน อย่าง Dunlop Sportmax Roadsport2 ที่มีขนาดยางหน้า 120/770 17 และยางหลัง 160/60 17 สร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงระบบเบรคคาลิปเปอร์หน้าอย่าง nissin จับกับจานเบรคแบบดิสคู่ ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 300 มิลลิเมตร เบรคหลังคาลิบเปอร์เบรค จับกับจานดิสเส้นผ่านศูนยืกลางขนาด 220 มิลลิเมตร พร้อมระบบความปลอดภัย ABS จาก Kawasaki ทางด้านน้ำหนักรวม 419 ปอนด์หรือราว 190 กิโลกรัมและสำหรับรุ่นที่มี ABS จะมีน้ำหนักรวมที่ 423 ปอนด์หรือราวๆ 192 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือเป็นน้ำหนักที่รวมของเหลวภายในตัวรถแล้วมีน้ำหนักที่ไม่มากจนเกินไป สำหรับสีที่เพิ่งจะเปิดตัวไปนั้นมี 3 สี ได้แก่ สีดำ,สีขาว,และสีพิเศษ ลวดลายตัวแข่งอย่าง Kawasaki Racing Team KRT สำหรับทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมานั้นคือสเปกที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ จากฝั่งยุโรป ส่วนประเทศไทยคงจะรออีกไม่นานนี้อาจจะได้เห็นตัวเป็นๆกันในงานใหญ่ปลายปีรึป่าวก็ต้องรอชมกันต่อไป ส่วนใครสาวกสายเขียว กำเงินรอได้เลย มาแน่!! อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้ ติดตามข่าวสาร Facebook คลิกทีนี้

“ยามาฮ่า” จัดมีทติ้งสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “รอสซี่ – บีญาเลส” แท็กทีม “มอร์บิเดลลี่ – การ์ตาราโร่” ใกล้ชิดกองทัพแฟนโมโตจีพีชาวไทยอย่างใกล้ชิด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เอาใจสาวกมอเตอร์สปอร์ต ต้อนรับศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบอันดับ 1 ของโลก ที่มีคิวยกพลดวลความเร็วบนสังเวียนระดับโลกของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 4 – 6 ตุลาคม 2562 นี้ ยามาฮ่าจัดหนักโหมโรงด้วยการดึงตัวนักบิดดาวดังระดับโลกนำทัพโดย วาเลนติโน่ รอสซี่ #46 และ มาเวริค บีญาเลส #12 ดูโอ้นักบิดในสังกัด มอนสเตอร์ เอเนอร์จี ยามาฮ่า โมโตจีพีพร้อมด้วย รุกกี้ทีมแซทเทิลไลท์อย่าง ฟาบิโอ การ์ตาราโร่ #20 และ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 ให้แฟนๆ ชาวไทยได้กระทบไหล่อย่างใกล้ชิดก่อนเปิดศึกไทยแลนด์จีพี 2019 ท่ามกลางแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยที่มาร่วมต้อนรับอย่างคับคั่ง สำหรับกิจกรรม Pre-MotoGP MEET & GREET ครั้งนี้ เป็นการดึงตัวนักบิดระดับโลกของทีมในสังกัดยามาฮ่าให้แฟนๆ ได้ร่วมกระทบไหล่กับนักบิดในดวงใจอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการต้อนรับการแข่งขันโมโตจีพีในประเทศไทยเป็นปีที่ 2 สร้างความตื่นตัวให้กับแฟนความเร็วชาวไทย และชาวต่างชาติอย่างมากที่มารอกระทบไหล่กับนักบิดซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในดวงใจ สำหรับนักบิดระดับโลกในศึกโมโตจีพีที่มาร่วมโชว์ตัว พร้อมให้แฟนๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ในครั้งนี้นำโดยคู่หูจาก มอนสเตอร์ เอเนอร์จี ยามาฮ่า โมโตจีพี อย่าง “เดอะด็อกเตอร์” วาเลนติโน่ รอสซี่ #46 นักบิดอิตาเลียนเจ้าของบัลลังก์แชมป์โลก 9 สมัย และ “ท็อปกัน” มาเวริค บีญาเลส #12 นักบิดสุดหล่อชาวสเปน รวมถึง 2 นักบิดในสังกัดปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ที อย่าง ฟาบิโอ การ์ตาราโร่ #20 นักบิดดาวรุ่งเฟรนช์แมนที่โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงในปีแรกบนเวทีพรีเมียร์คลาส พร้อมด้วย ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 นักบิดดาวรุ่งอิตาเลียน รวมถึงนักแข่งชาวไทยดีกรีแชมป์อีกหลายคนในสังกัด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ที่มาร่วมสร้างสีสันในงานด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ยังเตรียมของที่ระลึกสุดพิเศษให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตได้ลุ้นติดไม้ติดมือกลับบ้าน ด้วยกิจกรรมหลากหลายภายในงาน เช่น Lucky Draw Big -Black – Box ที่เปิดโอกาสให้ใกล้ชิดเหล่านักบิดระดับโลก พร้อมรับเสื้อที่มีลายเซ็นนักบิดในดวงใจเองกับมือ เพื่อใส่ไปร่วมเชียร์ ศึกพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019 นอกจากนี้ยังมีของรางวัลแจกภายในงานอีกเพียบ! อาทิ ร่วมลุ้นบัตรเข้าชม MotoGP และของที่ระลึกต่างๆ พร้อมทั้ง พบปะกับเพื่อนใหม่ ในคอมมูนิตี้สไตล์ไบค์เกอร์สายสปอร์ตอีกด้วยเช่นกัน โดยงาน Pre-MotoGP MEET & GREET ในครั้งนี้จัดขึ้นแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ณ บริเวณหน้าศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา เมื่อเร็วๆ นี้ อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่ ติดตามเราบนแฟนเพจคลิกที่นี่

ที่ 1 ไฮไลท์สำหรับ Yamaha ที่เปิดตัวกันไปสดๆร้อนๆในงาน Eicma 2019 นั้นก็คือ All-new 2020 Yamaha Tracer 700 ที่ต้องบอกเลยว่าได้รับความสนใจจากคนทั้งงาน ที่จับตามองรถคันนี้ ที่ถือว่าเป็นกระแสทัวร์ริ่งน้องใหม่ ในวงการบิ๊กไบค์ เลยทีเดียว ครั้งนี้ทางเรา SuperBikemag.com ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Eicma 2019 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ก็ได้เข้าไปเก็บภาพบรรยากาศบูท Yamaha รวมไปถึงเดินวนรถคันนี้มาประมาณนึง ก็พอจะได้ภาพและนำสเปคมาให้ชมกันครับ จุดเด่นของคันนี้เลยคงไม่พ้นหน้าตาที่ดูจะหล่อกว่าเพื่อนๆใน Hall เพราะว่ามันค่อนข้างที่ดูจะสปอร์ตไปด้วยซ้ำถ้าเรามองเห็นมาไกลๆ ผมเองยังรู้สึกหน้าตาคล้ายกับเจ้า R1 เลย เพราะตำแหน่งไฟโปรเจคเตอร์และเดย์ไลท์ที่ให้มา ดูสวยเตะตาจริงๆ เสริมความหล่อด้วยชิวบังลมขนาดใหญ่ สีแฟริ่งรอบคัน น้ำเงินด้าน มาพร้อมกับการ์ดแฮนด์กันกระแทก ที่มีไฟเลี้ยวในตัว ถือเป็นอีกส่วนนึงที่จะได้เลยว่า คันนี้ละที่เหมาะสำหรับสายทัวร์ริ่งจริงๆ เรือนไมล์แบบ Full Digital สวยงามล้ำสมัย อยู่ในระยะสายตาพอดีที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันกลางคืน เบาะนั่งแบบชิ้นเดียว เดินตะเข็บคู่สวยงาม สบายทั้งคนขับขี่และคนซ้อน รูปทรงที่ออกแบบมาดูเข้ากับตัวรถและสรีระท่านั่งขับขี่ ได้ดี “ได้ลองนั่งดูรู้สึกได้ว่ากระชับ หน้าขาสัมผัสถัง มือจับที่แฮนด์บาร์ได้พอดี ถ้าตัวจริงมาไทย ลองนั่งดูได้ สำหรับคนสูง 170 เซนติเมตร” สำหรับสเปคคันนี้ เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 700 ซีซี (689) 2 สูบ CP2 สังเกตุง่ายๆ จากคอท่อไอเสียได้เลย เครื่องยนต์ตัวนี้ให้กำลัง 72 แรงม้าที่ 8750 รอบ/นาที และมีแรงบิดที่ 67 นิวตัวเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ 6500 รอบ/นาที พร้อมกับเกียร์ 6 สปีดและเครื่องตัวนี้ผ่านค่ามาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 เป็นที่เรียบร้อย มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง ที่โช้คหน้าให้มาแบบเทเลสโคปิค (ตะเกียบคู่) สามารถปรับความแข็ง-อ่อน ของสปริงได้ มาพร้อมกับดิสเบรคคู่หน้าขนาด 282 มิลลิเมตร มั่นใจยิ่งขึ้นในการออกทริปเดินทาง รวมถึงยางหน้าที่ให้มาขนาด 120/70 ขอบ 17 Tubeless แบบไร้ยางใน ช่วงล่างด้านหลัง เป็นโช้คเดี่ยวที่อยู่ตำแหน่งกลางตัวรถที่ยึดไว้ระหว่างโครงรถและสวิงอาร์มคู่ด้า่นท้าย ระบบเบรคแบบดิส ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางจานดิส 245 มิลลิเมตร พร้อมกับยางหลังขนาดใหญ่ 180/55 ขอบ17 แบบ Tubeless ไร้ยางใน พร้อมกับความปลอดภ้ยที่มี ระบบ ABS ให้มาจากโรงงาน ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ สามารถบรรจุได้ 17 ลิตร ไว้สำหรับเดินทางได้สบาย น้ำหนักคันนี้รวมแล้วได้ 196 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าไม่มากเท่าไรนักสำหรับสายทัวร์ริ่งผู้หญิงขี่ได้ ผู้ชาย เท่ แน่นอน สำหรับค่าตัวนั้นยังไม่เปิดราคาในงานแต่ก็คิดว่าคงจะไม่ห่างจากเจ้า MT-07 ไม่มากก็น้อยคงต้องรอติดตามกันต่อไป และสำหรับสีที่เปิดตัว มีทั้งหมด 3 สี Sonic Grey (ส้ม-เทา) Phanton blue (สีน้ำเงิน) Icon grey (เทา-น้ำเงิน-ดำ) สุดท้ายนี้ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า All-new 2020 Yamaha Tracer 700 ยังไม่มีกำหนดเข้าประเทศไทยช่วง ปลายปี 2019 นี้อย่างแน่นอน แต่ก็อาจจะมีสิทธิ์ในช่วงๆกลางปี 2020 ก็อาจจะเป็นได้ ใครอดใจรอได้ก็รอไป ใครอดใจไม่ได้ ผมแนะนำเลย T7 รหัสร้อนปีนี้ เจอกันแน่นอนครับ.. อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกที่นี้ ติดตามเพจ Facebook คลิกทีนี้

สำหรับสายสกู๊ตเตอร์ที่ติดตามเจ้า Yamaha XMax 400 วันนี้ทางเรา SuperBikemag.com ก็ได้มีโอกาสเห็นตัวเป็นๆในงาน Eicma Show 2019 ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ไม่นานมานี้ ต้องบอกก็เลยนะครับว่า สเปคนี้จะมีจำหน่ายที่โซนยุโรปเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วก็มีแค่บางชิ้นส่วนเท่านั้นที่ถูกแต่งเติม เพิ่มสี เข้าไปรวมไปถึง ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นตามสภาพแวดล้อมและปัจจัยที่เกิดขึ้นในโซนยุโรป มาดูกันว่าคันนี้มีอะไรที่หน้าตื่นตาตื่นใจกันบ้าง รูปร่าง หน้าตาไม่ต่างจากฝั่งเอเชียเลย ที่สังเกตเห็นก็จะมีเพียงดีไซน์ลายล้อแม็กที่แปลกตาไป และชุดแคร้งเครื่องขับสายพราน ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ระบบดิสเบรคหน้าแบบ ดับเบิ้ลดิส ซ้ายและขวา พร้อมกับทับทิมสะท้อนแสงที่ติดอยู่กับตัวโช้คหน้า ตามมาตรฐานความปลอดภัยฝั่งยุโรป ทางด้านฝั่งขวา ที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ กรองอากาศและท่อไอเสียที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่จนรู้สึกว่าทำให้ตัวรถใหญ่ขึ้น แต่จริงๆแล้ว รูปร่างมิติตัวรถ เท่าเดิมมีเพียงปลายท่อ และหม้อกรองที่ทำให้ดูแน่นขึ้น อีกลูกเล่นที่บ้านเราไม่มี นั้นก็คือ เบรคมือ จากที่ถามและพอจะเข้าใจได้คือ การจอดบนที่ราบหรือพื้นเนินลาดชัน ขาตั้งอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการจอดให้หยุดนิ่ง จึงออกแบบเบรคมือเพิ่มขึ้นมา ไว้สำหรับการจอดไม่ให้ไหลลงเนิน เพิ่มความปลอดภัยในภูมิประเทศฝั่งโซนยุโรป เบรคมือ จึงมีความจำเป็นพอสมควร เบาะนั่งเป็นอีกชิ้นที่ดูแปลกตาไป ถูกตกแต่งด้วยเพลท Yamaha สีเงินมาจากโรงงานดีไซน์ตะเข็บสวย แถมได้ลองนั่งมา มันช่างสบายเหลือเกิน ทั้งนุ่ม และกระชับเข้ากันได้ดีจริงๆถ้าได้เดินทางไกล สิ่งนี้ที่อยากให้อยู่ในบ้านเรา เรือนไมล์เข็มที่ดีไซน์มาแบบสวยหรูดูดีมีราศีมาก เอาจริงๆคือมันคล้ายกับเรือนไมล์ Tmax พอสมควร จนรู้สึกอยากให้มีในฝั่งเอเชีย เช่นกัน จากเดิมที่ยอดขายถล่มทลายอยู่ ถ้ามาสเปคนี้ต้องบอกเลยว่า ขายดียิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าถ้าใครยังรอ Yamaha Xmax 400 สเปคนี้อยู่ ขอให้ถอนหายใจยาวๆไปก่อน ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าประเทศไทยเมื่อไร เพราะ ที่ขายตัว 300 อยู่ตอนนี้ก็เพียงพออยู่เเล้ว นอกจากจะเพิ่มพาร์ทอะไหล่บางชิ้นจากโซนยุโรปมาใส่ให้หายอยากไปก่อนก็ลองดู คิดว่าคงไม่ยาก สำหรับคนไทย ส่วนเรื่องเครื่องยนต์ที่ดูจำนวนซีซีที่มากกว่านั้น คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะตอนนี้เครื่อง 300 ซีซีบ้านเราก็วิ่งกันไม่แพ้ใครเลยละครับ งานมหกรรมใหญ่ปลายปีนี้คงต้องบอกว่าขอให้รอดูกันสำหรับโมเดล Xmax ที่จะมีสีใหม่ หรือว่ารุ่นใหม่ โปรคติดตามกันอย่างใกล้ชิดได้เลย มีแน่นอน.. อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกที่นี้ ติดตามเพจ Facebook คลิกทีนี้

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เผยโฉม BMW R1250RT 2019 ใหม่มอเตอร์ไซค์ทัวริ่งที่มาพร้อมสมรรถนะเครื่องยนต์ทรงพลังผสานเข้ากับความสะดวกสบาย สำหรับการเดินทางไกลไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมสร้างประสบการณ์สุดประทับใจให้แก่เหล่าไบค์เกอร์บนทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล BMW R1250RT 2019 ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับตำนานของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด สั่งจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบฟอกไอเสียแบบ closed-loop ชนิด 3 ทาง จึงพร้อมส่งแรงบิดเต็มกำลัง ขณะที่เทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันใหม่ BMW ShiftCam ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องยนต์ ก็ยังเสริมความแรงได้อย่างเหนือชั้น บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว ขนาด 1,254 ซีซี ที่ได้รับการยกระดับให้สามารถส่งพละกำลังและแรงบิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่นแม้ขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ส่งกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยระบบไอเสียที่สามารถปล่อยมลพิษน้อยลง และประหยัดเชื้อเพลิง เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลาลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ เพลาลูกเบี้ยวยังเปลี่ยนมาขับเคลื่อนด้วยห่วงโซ่ฟันแทนโซ่ส่งกำลังแบบเดิม ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐานยูโร 4 ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลายสำหรับความต้องการที่แตกต่างของนักบิด ได้แก่ ‘Rain’, ‘Road’ และ Riding Modes Pro ที่เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร คือ ‘Dynamic’, ‘Dynamic Pro’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’ พร้อมระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อเสริมความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่อุ่นใจยิ่งขึ่นในทุกสภาวะการขับขี่ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วย ระบบ Dynamic Traction Control และ ABS Pro ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบ Dynamic Brake Control หรือ DBC ช่วยให้เบรกหลังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์เมื่อเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้รถมีระยะเบรกสั้นลง ในขณะที่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นคง ระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า หรือ Dynamic ESA ยังสามารถปรับการตอบสนองของโช้คอัพได้อย่างอัตโนมัติและฉับไวตามสภาวะการขับขี่และการควบคุมรถ ปรับค่าการสั่นสะเทือนให้เหมาะสมตามสภาพถนน เพื่อการขับขี่ที่สบายและมั่นคงในทุกเลี้ยวโค้ง ดีไซน์ของบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ ยังคงเน้นองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ ทัวริ่งอย่างเต็มเปี่ยมใน 4 สี 4 สไตล์ด้วยกัน ได้แก่ สีขาว Alpine white สีแดง Mars red metallic/Dark slate metallic matt สี Manhattan metallic และสีน้ำเงิน Option 719 Blue planet metallic/Ivory นอกจากนี้ ชุดแต่งจาก BMW Motorrad Spezial ยังเป็นอีกทางเลือกที่พร้อมสร้างความแตกต่างให้ สะดุดตายิ่งขึ้น ด้วยชิ้นส่วนคัสตอมสุดเอ็กซ์คลูซีฟในวัสดุเกรดพรีเมียม และงานฝีมืออันประณีตบรรจงในทุกรายละเอียดจากช่างผู้เชี่ยวชาญ มอบสไตล์ที่โดดเด่นแบบเฉพาะตัว บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 RT ใหม่ สีขาว Alpine White ราคา: 1,340,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับรุ่นสีขาว Alpine White จะโดดเด่นด้วยล้อสีเงิน Silver metallic ตัดสลับกับตัวเครื่องสีเงิน Aluminium Silver metallic มาพร้อมกับฝาครอบถังน้ำมันกลางตัวรถและที่รองเข่าสีเข้ม Slate Dark metallic matt สวยสะดุดตา นอกจากนี้ ตุ้มถ่วงปลายแฮนด์ ขอบกระจกหน้ารถ และคาลิเปอร์เบรคสีดำ พร้อมด้วยสปอยเลอร์ด้านหน้าและสปอยเลอร์เครื่องยนต์สีดำ Night Black ยังขับเน้นให้ส่วนของเครื่องยนต์นั้นโดดเด่นและโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น