First Ride – 4 เรือธงแห่งยักษ์เขียว

นับเป็นครั้งแรกของการเปิดให้ร่วมทดสอบ 4 เรือธงของทาง Kawasaki กับงาน Kawasaki Supercharger Test Riding แบบงานเดียวขี่ 4 คันจัดหนักๆ กันไปเลย

Ninja H2

เริ่มต้นกันด้วยไฮไลต์อย่างมอเตอร์ไบค์ที่มาพร้อมกับเครื่องซูเปอร์ชาร์จคันแรกของโลก อย่าง Ninja H2 ที่เป็นผลิตผลจากความปรารถนาอันแรงกล้าจากบริษัทในเครือ Kawasaki Heavy Industries Group ที่ต้องการจะยกระดับสมรรถนะของมอเตอร์ไบค์ขึ้นไปอีกระดับทั้งในด้านของความเร็วและสมรรถนะ โดยเจ้า H2 นั้นได้ขุมพลังมาจากเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ 998 ซีซี ที่มีความดุดันและเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ทั้งอัตราเร่ง กำลังแรงม้าที่มีค่อนข้างดุดันจนน่ากลัว ด้วยเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จที่ทำให้กำลังในช่วงรอบต้น-กลางมาไวขึ้นอย่างมาก ซึ่งไม่มีการรอรอบอย่างเครื่องเทอร์โบ เอกลักษณ์อีกอย่างคือเสียงจากเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จเวลาที่ระบายแรงดันส่วนเกินออกมา เป็นเสียงแหลมเล็กไม่เหมือนใคร ซึ่งตัวผมมีความเห็นว่าสำหรับคนที่ชอบก็จะชอบไปเลย ถ้าคนไม่ชอบก็จะมองว่าน่ารำคาญหูสักหน่อย

ในส่วนของดีไซน์ต้องบอกว่าล้ำสมัยมาก เฟรมถักสีเขียวโดดเด่นสะดุดตา กับรูปทรงที่ถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อลดแรงต้านในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ด้วยหลักการออกแบบอาจจะทำให้มิติของตัวรถเองนั้นถึงแม้ภายนอกจะดูใหญ่ แต่พอคร่อมจริงๆ แล้วพบว่าไม่ได้ใหญ่เหมือนที่คิด น้ำหนักเบา ฐานล้อที่สั้น พลิกรถได้ง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขี่รถคลาส 300 อยู่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังคิดว่าการควบคุมต้องใช้ทักษะพอสมควรเพราะกำลังที่ให้มาค่อนข้างสูง ท่านั่งเป็นแบบสปอร์ต แต่ไม่ได้ก้มหมอบมากแบบรถแข่งจ๋าๆ ซึ่งส่วนนี้ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่มองได้กว้างมากขึ้น

ช่วงล่างติดรถมาจากโรงงานนั้น จากการที่ได้ทดลองขับขี่อาจจะต้องมีการเซ็ทอัพเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่ของแต่ละบุคคลอีกนิด ส่วนระบบเบรคที่ติดรถมาก็สามารถไว้ใจได้เลย โดยรวมส่วนตัวถือว่าเป็นรถที่น่าเก็บอีกคันนึงเลยทีเดียว กับราคา 1,568,000 บาท

 

Ninja H2 SX SE

ต่อกันที่สปอร์ตทัวเรอร์เครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก H2 ภายใต้สโลแกน Supercharge Your Journey ภาพแรกที่เห็นเลยคือมิติของรถที่ดูใหญ่โต เทอะทะ แม้ว่าจะยังไม่ได้ติดกระเป๋าข้างเลยก็ตาม จนผมแอบรู้สึกว่าใหญ่แบบนี้มันจะขี่ได้ยังไงกันเนี่ย มันต้องเป็นรถที่อุ้ยอ้ายแน่ๆ แต่พอได้ขึ้นคร่อมและได้ลองสัมผัสได้ลองขี่ในสนาม แค่รอบเดียวผมก็พบว่าคนละเรื่องกับสิ่งที่ตาเห็นเลย ต้องชื่นชมทีมวิศวกรของ Kawasaki ที่ออกแบบรถออกมาได้ดีมาก แม้องศามุมเลี้ยวจะแตกต่างจาก H2 แต่ก็สามารถขี่ได้ง่ายกว่า

เครื่องยนต์มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างจาก H2 อย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าพื้นฐานเป็นเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จเหมือนกัน ทว่ากำลังที่ส่งผ่านออกมานั้นมีความนุ่มนวลกว่า สมู้ทกว่า เวลาเปิดคันเร่งก็ยังคงส่งกำลังมาให้อย่างต่อเนื่อง ไม่กระโชกโฮกฮาก ทำให้ขี่ง่ายกว่า และประหยัดกว่าครับ

ช่วงล่างที่ติดรถมาโดยส่วนตัวรู้สึกว่าทำได้ประทับใจกว่าตัว H2 แต่สุดท้ายก็คงต้องปรับเซ็ตให้เข้ากับน้ำหนักบรรทุกกับไสตล์การขับขี่ของแต่ละบุคคลอยู่ดี โดยโช้คหลังมีรีโมทสำหรับปรับพรีโหลดเพื่อให้สะดวกต่อการปรับเซ็ตน้ำหนักเมื่อมีคนซ้อนและสัมภาระ ระบบเบรคเองเป็นโมโนบล็อคของ Kawasaki ก็สามารถทำงานได้ดี รวมไปถึงตัว ABS ก็ทำงานได้อย่างชาญฉลาด

ฟีเจอร์อีกอย่างของ H2 SX SE จะเป็นจอสี TFT พร้อมบอกรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถแบบครบครัน ที่สว่างคมชัดแม้ตอนกลางวัน ส่วนอีกอย่างก็จะเป็นไฟ Cornering Light ที่จะช่วยส่องสว่างขณะเลี้ยวโดยทำงานจากการตรวจจับเซ็นเซอร์วัดการเอียงของตัวรถ ซึ่งมีประโยชน์มากๆ สำหรับรถทัวริ่ง โดยสนนราคาของ Ninja H2 SX SE นั้นอยู่ที่ 1,090,000 บาทครับ ราคาเบากว่าพอตัวเลย

ผมมองว่าขี่ในเมือง หรือออกต่างจังหวัด ขี่ได้ง่ายๆ สบายๆ ไม่เหนื่อยเลย ด้วยท่านั่งขับขี่จะนั่งหลังตรงกว่าตัว H2 จากแฮนด์ที่ยกสูงขึ้นกว่า ทำให้คอนโทรลรถได้ง่ายกว่า รวมไปถึงไม่ปวดหลังเวลาขับขี่ด้วย เรื่องลมปะทะ ด้วยมิติของแฟริ่งละบังลมหน้า ทำให้ไม่เป็นปัญหาเรื่องของลมปะทะเลย แต่ถ้าด้วยความเร็วที่สูงมากๆ ก็ต้องมีก้มเล็กน้อยเพื่อหลบลมอยู่บ้าง

สุดท้ายนี้ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์และตัวตนของตัวเอง ซึ่งสำหรับตระกูลซูเปอร์ชาร์จทั้งสองคันนี้ ผมต้องบอกเลยว่า ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

Ninja ZX-10R

มาต่อกันในส่วนของ Ninja ZX-10R สปอร์ตไบค์ตัวพันซึ่งเป็นรถที่ถูกถ่ายถอดสมรรถนะมาจากสนามแข่งอย่างรายการ WSBK ที่การันตีถึงสมรรถนะที่ดีเยี่ยม ซึ่งเมื่อลองมาขับขี่ดูจริงๆ แล้ว พบว่าเป็นรถอีกรุ่นที่ขี่ได้ง่าย อีกทั้งของที่ติดรถมาก็ให้ค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับราคา 694,000 บาท พละกำลังของตัวรถมาจากเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 998 ซีซี ที่สมู้ท ควบคุมง่าย เมื่อเปิดคันเร่งก็ให้การตอบสนองที่มาค่อนข้างเร็ว แต่ไม่ถึงกับเกรี้ยวกราด ตัวรถน้ำหนักไม่มาก ทำให้สามารถพลิกรถได้ง่าย

นอกจากนี้ระบบเบรคและกันสะเทือนเองก็จัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นคาลิเปอร์เบรคหน้า M50 จาก Brembo และโช้คอัพหน้าพร้อมซับแทงค์จาก Showa อีกทั้งยังมีกันสะบัดไฟฟ้าจาก Ohlins อีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าครบเครื่องมาตั้งแต่โรงงานเลยทีเดียว ถ้าได้มาแค่เปลี่ยนท่อสักใบ เซ็ตช่วงล่างอีกสักหน่อย ก็พร้อมจะซิ่งแบบหล่อๆ ทั้งบนถนนและในสนามได้แล้วครับ

Ninja ZX-10R SE

และมาถึงตัว ZX-10R SE น้องใหม่ล่าสุด ที่แตกต่างจากตัวธรรมดาตรงที่มีการเพิ่มอ็อพชั่นเสริมเป็นของติดรถที่มาจากโรงงาน อย่างล้อฟอร์จแบบ 7 ก้าน จาก Marchesini ระบบกันสะเทือนไฟฟ้าทั้งหน้าและหลังที่ทำงานร่วมกับกล่อง ECU ที่ประมวลแบบเรียลไทม์ และควิกชิฟเตอร์ KQS (Kawasaki Quick Shifter) แบบสองทาง ซึ่งระบบจะทำงานเมื่อรอบเครื่องยนต์สูงกว่า 2,500 รอบ/นาที

ซึ่งสัมผัสแรกที่รู้สึกเลยคือ ตัวรถเบามาก การควบคุมรถทำได้ง่ายกว่าตัวธรรมดายิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งเมื่อประกอบกับการทำงานของระบบกันสะเทือนไฟฟ้าที่ฉลาดและทำงานได้ดีมากๆ แม้จะลองขับขี่ในสนามด้วยตัวผม เป็นคนที่สไตล์เข้าลึกเบรคหนัก ตัวระบบโช้คอัพไฟฟ้าเองก็ตอบสนองได้ดี มีการประมวลข้อมูลทั้งในส่วนของอัตราเร่ง ความเร็วในทุกเสี้ยววินาที เพื่อที่จะปรับค่าแดมปิ้งให้ตอบสนองตามสภาพการขับขี่ จนแทบไม่มีอาการให้เห็นเลย ระบบเบรคให้ติดรถมาก็เหลือๆ สามารถหยุดรถที่มีแรงม้าขนาดนี้ได้สบาย

ซึ่งถ้าพูดถึงความคุ้มค่าคุ้มราคา กับราคาค่าตัวที่ 885,000 ก็คงต้องบอกว่าคุ้มกับเงินทุกบาทที่จ่ายไปครับ

สุดท้ายอาจจะต้องขอโทษแฟนๆ ที่ไม่อาจจะเก็บข้อมูลรายละเอียดลึกๆ มาได้อย่างเต็มที่ ด้วยเวลาที่จำกัดกับจำนวนรุ่นนั้นเยอะไม่สัมพันธ์กัน อย่างไรก็ดี คิดซะว่าเป็นน้ำจิ้มก่อนนะครับ หากทางเรามีโอกาสเราจะทดสอบแบบจัดเต็มอีกอย่างแน่นอนครับ

ดูการทดสอบรถอื่นๆ คลิก

- Advertisement -
บทความก่อนหน้านี้
บทความถัดไป
Bank Superbike
Bank Superbike
นักเขียนธรรมดา ที่คิดว่าไม่มีอะไรเกินคว้า ฟ้าไม่สูงไป ใจไม่ขี้ขลาด ชีวิตเรียนรู้ในวงการมา 9 ปี ขับขี่ได้ทั้ง 2 ล้อ 4 ล้อ เครื่องยนต์ไม่จำกัดซีซี ควรทำในส่งที่ควรทำ รักสุดใจ ลงแทร็กไปก็ขี่สุดตัวเช่นกัน..!!

Related Articles

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่