Honda CBR1000RR-R Fireblade 2022 นอกจากสีแล้วมีอะไรใหม่?
สำหรับ Honda CBR1000RR-R Fireblade 2022 โมเดลใหม่นี้แม้จากภายนอกจะดูเหมือนเดิม ๆ ไม่แตกต่างไปจากเดิมนอกไปจากสีสันใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมีการปรับปรุงอยู่หลายขนานเลยทีเดียว แต่หลัก ๆ จะเป็นการปรับปรุงภายในหลาย ๆ จุดด้วยกัน เพื่อให้ซูเปอร์ไบค์เรือธงคันนี้ขี่ได้สนุกและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นยังคงเป็นเครื่อง 4 สูบเรียงขนาด 999 ซีซีเช่นเดิม โดยเคลมแรงม้ามาที่ 214.56 แรงม้าที่ 14,500 รอบเท่าเดิม แต่แรงบิดลดลงเล็กน้อย โดยลดลงมา 1 หน่วย จากเดิม 113 นิวตันเมตร เหลือ 112 นิวตันเมตรที่ 12,500 รอบ แต่กลับมีแรงบิดให้ใช้งานในย่านกลางมากขึ้น
โดยจุดแรกที่เปลี่ยนไปและสามารถสังเกตได้จากภายนอกคือ สเตอร์หลังมีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม 40 ฟันกลายเป็น 43 ฟัน เพื่อให้มีอัตราเร่งที่ดีขึ้นตลอดทุกเกียร์ในช่วงย่านความเร็วรอบกลาง ๆ แต่ก็ยังสามารถให้กำลังแรงที่ดีได้แม้ในรอบสูง ๆ
และเพื่อให้สามารถให้กำลังแรงได้เช่นเดิม มีการปรับปรุงภายในเครื่องยนต์อีกหลายจุดด้วยกัน แอร์บ็อกซ์และกรวยไอดีได้ปรับทรงใหม่ให้อากาศไหลได้คล่องตัวมากขึ้น พอร์ตไอดีเองก็ถูกปรับเพื่อให้เพิ่มความเร็วในการไหลของอากาศ ขณะที่ฝั่งไอเสียเองก็ไหลไปยังตัวคาตาไลซ์ได้ยิ่งขึ้นเช่นกัน
ในส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ยังคงเดิม ยังเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดกะทัดรัด เป็นเครื่องที่ช่วงชักสั้น โดยมีมิติระยะชักและขนาดกระบอกสูบแบบเดียวกับ RC213V มีการใช้เทคโนโลยีลดแรงเสียทานภายในเครื่องยนต์แบบเดียวกับ RC213V-S ปิดท้ายด้วยท่อไอเสียแบบ 4-2-1 และจบปลายท่อด้วยปลายจาก Akrapovič
ระบบคันเร่งไฟฟ้าก็มีการปรับโหลดของสปริงให้น้อยลง เพื่อให้คันเร่งนั้นเนียนขึ้นและตอบสนองได้ดีขึ้นเวลาเปิดคันเร่ง ซึ่งการปรับปรุงครั้งนี้เป็นการรับฟังฟี้ดแบ็กจากทางนักแข่งจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งรวมไปถึงทีมแข่ง HRC WorldSBK อีกด้วย
ระบบแทร็คชันคอนโทรล หรือ Honda Selectable Torque Control (HSTC) ก็ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น โดยผู้ขับขี่จะสามารถรับรู้ได้ถึงพละกำลัง การยึดเกาะและการตอบสนองต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นและให้ตอบสนองกับอัตราทดที่ปรับเปลี่ยนมาใหม่อีกด้วย
ระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ก็ยังคงมีอยู่ครบถ้วน อาทิ โหมดการขับขี่ 3 โหมด และสามารถได้อย่างอิสระ ทั้งพละกำลัง เอ็นจิ้นเบรก การลอยตัวของล้อ และแทร็คชันคอนโทรล และโหมดช่วยออกตัวที่ช่วยล็อกรอบเวลาออกตัวในสนามแข่ง
และสำหรับโมเดลมาตรฐานที่ใช้คาลิเปอร์เบรกหน้าจาก Nissin นั้นมีการเลือกใช้วัสดุและทำผิวสัมผัสของลูกสูบเบรกใหม่ ช่วยให้เบรกได้ดียิ่งขึ้นและมีความสม่ำเสมอในการเบรกมากยิ่งขึ้น
ตัวเฟรมแบบไดมอนด์เฟรมที่ทำจากอลูมิเนียมยังคงเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง มีการใช้ส่วนท้ายของเครื่องยนต์เป็นจุดยึดโช้คหลังด้านบนขณะที่สวิงอาร์มที่มีต้นแบบมาจากรถแข่ง RC213V-S ก็ยังคงเดิม ตัวรถมีการปรับแต่งให้มีบาลานซ์ระหว่างความแข็งแรง การกระจายน้ำหนัก และองศาการบังคับเลี้ยวให้ออกมาลงตัวมากที่สุด เพื่อให้สอดคล้องกับพละกำลังที่ถ่ายทอดออกมาจากเครื่องยนต์ และให้ได้ฟีลลิ่งการยึดเกาะที่ด้านหน้าและด้านหลังเป็นอย่างดี
ตัวรถมีระบบประมวลผลแรงเฉื่อยหรือ IMU ที่ช่วยให้ ECU รู้ว่าตัวรถอยู่ในสถานะใด และช่วยป้อนข้อมูลที่เหมาะสมให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมไปถึงระบบกันสะบัดไฟฟ้า Honda Electronic Steering Damper (HESD) ของฮอนด้าอีกด้วย
สำหรับตัวพื้นฐานนั้นจะมีระบบกันสะเทือนเองก็ยังคงเดิม ยังเป็นของ Showa รุ่น Big Piston Fork (BPF) ขนาด 43 ม.ม. และมีโช้คหลัง Showa Balance Free Rear Cushion Lite (BFRC-L) ขณะที่ระบบเบรก ด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรกคู่กับคาลิเปอร์เบรก Nissin อย่างที่บอกไปแล้วว่าได้รับปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เบรกได้ดีขึ้นจากการที่สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น ระบบเบรก ABS เองก็สามารถปรับแต่งหรือปิดได้ ในกรณีที่ต้องการจะขับขี่ใช้งานในสนามแข่ง
ในส่วนของบอดี้เวิร์คหรือแฟริ่งนั้นก็ยังคงเดิม ที่ออกแบบโดยใช้ความรู้จาก RC213V รถแข่ง MotoGP มาปรับใช้กับเจ้าดาบเพลิงคันนี้ให้ตรงตามหลักแอโรไดนามิก และแน่นอนว่ามวิงก์เล็ตที่ช่วยเพิ่มแรงกดและเพิ่มความสเถียรขณะเบรกหนัก ๆ ตัวรถมีหน้าจอเรือนไมล์สี TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อมสวิตช์ควบคุมแบบ 4 ทิศทางที่แฮนด์ด้านซ้าย และมีระบบสมาร์ทคีย์เพื่อความสะดวกสบาย
ขณะที่รุ่น SP ก็จะมีการอัปเกรดในส่วนของช่วงล่าง ทั้งระบบเบรกและระบบกันสะเทือน โดยระบบเบรกจะเปลี่ยนไปใช้ของ Brembo และโช้คก็จะอัปเกรดไปเป็นโช้คปรับไฟฟ้าของ Ohlins และมีการติดตั้งควิกชิฟเตอร์ให้อีกด้วย
สุดท้ายนี้สำหรับ CBR1000RR-R Fireblade จะวางจำหน่ายในเฉดสีแดง Grand Prix Red ที่ปรับปรุงใหม่โดยตอนนี้มีพื้นที่สีขาวขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าเพื่อเป็นพื้นที่รองรับการติดหมายเลขรถเวลาแข่งนั่นเอง
สำหรับรุ่น SP จะมีให้เลือก 2 เฉดสีคือสีแดง Grand Prix Red และสีดำ Matte Pearl Morion Black ซึ่งทั้งสองเฉดสีจะมาพร้อมล้อสีทองอีกด้วย
และสำหรับรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 30 ปีของ CBR ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1992 (ครบ 30 ปีในปี 2022) ก็จะมาในเฉดสีไตรคัลเลอร์ ขาว น้ำเงินและแดง ที่เป็นการให้เกียรติ CBR900RR ต้นกำเนิดของตระกูลพิกัดเรือธง ซึ่งจะมีพื้นฐานเป็นรุ่น SP นั้นเอง และผลิตขึ้นจำนวนจำกัด